วิธีล้างเครื่องซักผ้า ด้วย 7 ของใช้ในบ้าน เช่น น้ำส้มสายชูและเบกกิ้งโซดา ใช้ได้ทั้งเครื่องซักผ้าฝาหน้าและเครื่องซักผ้าฝาบน ให้กลับมาสะอาด ไม่มีสิ่งสกปรกตกค้างและกลิ่นอับ
เมื่อใช้เครื่องซักผ้าไปนาน ๆ อาจจะพบว่ามีเศษสกปรกติดมากับเสื้อผ้า หรือรู้สึกว่าถังซักมีกลิ่นอับ ปัญหาเล็ก ๆ ที่ไม่ต้องถึงมือช่างก็สามารถแก้ไขเองได้ ด้วยของใช้ในบ้าน เช่น น้ำส้มสายชู เบกกิ้งโซดา ผงซักฟอก ฯลฯ พร้อมสูตรผสมและวิธีล้างเครื่องซักผ้าด้วยตัวเองง่าย ๆ ใช้ได้ทั้งเครื่องซักผ้าฝาบนและเครื่องซักผ้าฝาหน้า ที่จะช่วยทำให้ถังซักสะอาด ไม่มีสิ่งสกปรกตกค้าง รวมถึงยังป้องกันกลิ่นอับอีกด้วย
1. น้ำส้มสายชู
น้ำส้มสายชู ถือเป็นหนึ่งในตัวช่วยยอดฮิตในการทำความสะอาด รวมถึงการล้างเครื่องซักผ้า โดยเปิดโปรแกรมซักน้ำร้อนที่อุณหภูมิ 60 °C จากนั้นเทน้ำส้มสายชู 230 มิลลิลิตรลงไปในช่องใส่ผงซักฟอก เปิดเครื่องปั่นสัก 3 นาที เพื่อให้น้ำส้มสายชูละลายไปกับน้ำ เสร็จแล้วแช่ทิ้งไว้ 1-2 ชั่วโมง แล้วค่อยกดให้เครื่องทำงานแบบปกติ หลังจากนั้นก็ล้างเครื่องเปล่าตามอีก 1-2 ครั้ง เพื่อกำจัดกลิ่นน้ำส้มสายชู เท่านี้เครื่องซักผ้าก็จะกลับมาสะอาด และช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียในถังซักได้แล้ว
2. เบกกิ้งโซดา
นอกจากวิธีทำความสะอาดเครื่องซักผ้าด้วยน้ำส้มสายชูแล้ว เบกกิ้งโซดา ก็ใช้ล้างเครื่องซักผ้าได้เหมือนกัน มีขั้นตอนคือ ใส่เบกกิ้งโซดา 2 ช้อนโต๊ะลงไปในช่องใส่ผงซักฟอก เลือกโปรแกรมซักน้ำร้อนและน้ำในระดับสูงสุด และกดปั่นถังซักให้เบกกิ้งโซดาละลายไปกับน้ำ จากนั้นแช่ทิ้งไว้สัก 3 ชั่วโมง สุดท้ายเปิดน้ำล้างเครื่องเปล่าตามอีก 1-2 ครั้ง ก็จะเป็นอันเสร็จเรียบร้อย
3. น้ำส้มสายชูกับเบกกิ้งโซดา
โดยผสมเบกกิ้งโซดา 3 ช้อนโต๊ะ และน้ำเปล่า 1-2 ช้อนชา เข้าด้วยกัน คนจนเป็นสารละลายเหนียว ๆ ข้น ๆ แล้วใส่ลงไปในช่องใส่ผงซักฟอก จากนั้นเทน้ำส้มสายชูประมาณ 250 มิลลิลิตรตามลงไป แล้วตั้งค่าเป็นซักด้วยน้ำร้อนหรือน้ำร้อนที่อุณหภูมิ 60 °C พร้อมเปิดเครื่องทำงานตามปกติ วิธีนี้นอกจากจะทำให้เครื่องซักผ้าสะอาด ยังช่วยป้องกันกลิ่นอับได้อีกด้วย
4. ผงซักฟอก
วิธีล้างเครื่องซักผ้าง่าย ๆ โดยไม่ต้องใช้น้ำยาทำความสะอาดและไม่ต้องผสมสารละลายต่าง ๆ ก็คือ การใช้ผงซักฟอก ซึ่งเราสามารถเลือกใช้ผงซักฟอกทั่วไปที่ใช้กันอยู่เป็นประจำได้เลย ซึ่งวิธีล้างเครื่องซักผ้าก็ไม่ยาก เพียงแค่ใส่ผงซักฟอกลงไปในช่องตามปกติ แล้วเปิดเครื่องปั่นถังซักเหมือนที่ใช้ซักผ้าทั่วไป เพียงแค่ไม่ต้องใส่เสื้อผ้าลงไประหว่างซักเท่านั้นเอง
5. สารฟอกขาว
วิธีทำความสะอาดเครื่องซักผ้าด้วยสารฟอกขาวหรือน้ำยาฟอกขาว เหมาะกับเครื่องที่มีคราบหนักฝังแน่น หรือต้องการกำจัดเชื้อแบคทีเรียเป็นพิเศษ โดยเติมสารฟอกขาว 30 มิลลิลิตรลงไปในถังซัก และอีก 30 มิลลิลิตรลงไปในช่องใส่ผงซักฟอก (ปริมาณรวมกันไม่ควรเกิน 60 มิลลิลิตร) เปิดโปรแกรมซักน้ำร้อน แล้วปั่นจนสารฟอกขาวละลาย จากนั้นแช่ทิ้งไว้สัก 1 ชั่วโมง พอครบแล้วก็ซักตามขั้นตอนปกติ พร้อมเพิ่มการล้างพิเศษเข้าไป 1 ครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่ากำจัดคราบสกปรกและสารฟอกขาวออกจนหมด หากซักเสร็จแล้วยังมีกลิ่นติดค้างอยู่ให้เปิดน้ำล้างเครื่องเปล่าตามอีกครั้ง สุดท้ายเช็ดด้านในของฝาและเปิดทิ้งไว้จนเครื่องแห้ง ทั้งนี้ เพื่อป้องกันปัญหามีสารฟอกขาวตกค้างในเครื่อง ควรเลือกซักผ้าขาวก่อนทุกครั้งหลังจากทำความสะอาดเครื่องซักผ้าเสร็จครั้งแรก
6. ดีเกลือฝรั่ง
อีกหนึ่งไอเทมธรรมชาติที่ช่วยล้างเครื่องซักผ้าให้สะอาดและปราศจากกลิ่นได้ก็คือ ดีเกลือฝรั่ง โดยขั้นตอนแรกให้เราเปิดน้ำร้อนลงในเครื่องซักผ้าก่อน จากนั้นก็ใส่ดีเกลือฝรั่ง 1 ถ้วย และน้ำส้มสายชู 1 ลิตร ตามลงไป ปล่อยให้เครื่องปั่นจนส่วนผสมเข้ากันสักประมาณ 1 นาที เสร็จแล้วแช่ทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง ค่อยปั่นต่อตามปกติ สุดท้ายเมื่อซักเสร็จเรียบร้อยแล้วให้ล้างน้ำเปล่าตามอีก 1 ครั้ง ก็จะช่วยกำจัดคราบและสารตกค้างต่าง ๆ ออกไปได้อย่างหมดจดนั่นเอง
7. ผงวิตามินซีและกรดมะนาว
สำหรับการล้างเครื่องซักผ้าที่มีคราบหนักฝังแน่น ขอแนะนำให้ใช้ผงวิตามินซีและกรดซิตริกหรือกรดมะนาว ซึ่งขั้นตอนก็ง่าย ๆ เพียงต้มน้ำเปล่าให้เดือด จากนั้นปิดแก๊สแล้วใส่ผงวิตามินซีประมาณ 200 กรัม กับกรดซิตริกหรือกรดมะนาวประมาณ 100 กรัม ลงไป คนให้ละลาย เสร็จแล้วเทลงในถังจนเกือบหมด เหลือไว้เทใส่ช่องใส่ผงซักฟอกเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ซักด้วยโปรแกรมซักน้ำร้อน แค่นี้กรดทั้งสองก็จะช่วยกำจัดคราบสกปรกที่เกิดจากน้ำ รวมถึงคราบสนิม คราบหินปูนและคราบสบู่ได้เกลี้ยงแล้ว
เป็นอย่างไรบ้างคะ การล้างเครื่องซักผ้าด้วยของใช้ใกล้ตัวด้วยตัวเองไม่ยากอย่างที่คิดเลยใช่มั้ย เอาเป็นว่าใครกำลังมองหาวิธีทำความสะอาดเครื่องซักผ้าอยู่ อย่าลืมนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปปรับใช้ จะได้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าเครื่องซักผ้าของคุณสะอาด ปราศจากเชื้อโรค ไม่มีกลิ่นเหม็นรบกวน พร้อมแก่การซักเสื้อผ้าจริง ๆ นั่นเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก toshiba, realhomes, laundrapp และ hunker
