สำหรับคนที่กำลังมองหาต้นไม้ดอกสีส้มสวย ๆ เพื่อนำไปใช้ในการจัดสวนและบ้านให้ดูสดใส ตามมาดูดอกไม้สีส้ม ที่ทั้งสวยงาม ทนทาน และปลูกง่ายเหล่านี้กันได้เลยค่ะ
1. หางนกยูงฝรั่ง
หางนกยูงฝรั่ง (Flamebuoyant Tree, Flame of The Forest) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Delonix regia (Bojer ex Hook.) Raf. เป็นต้นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงประมาณ 10-18 เมตร ผลัดใบ ยอดแผ่กว้างคล้ายร่ม มีรากโผล่พ้นดินรอบต้น ระบบรากแข็งแรง ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก เรียงสลับ ผิวใบเกลี้ยง ส่วนดอกจะออกเป็นช่อตามปลายกิ่ง มีสีแดงอมส้ม สีส้ม สีแดง และสีเหลือง มักออกดอกเต็มต้นในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน นิยมปลูกเป็นไม้ประดับเพื่อให้ความสวยงามและให้ร่มเงา
หางนกยูงฝรั่งนิยมขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด แต่ก็สามารถติดตา ต่อกิ่ง เสียบยอด และปักชำได้เหมือนกัน โดยต้นไม้ชนิดนี้จะเจริญเติบโตค่อนข้างเร็ว ชอบดินร่วนปนทรายหรือดินที่ไม่เหนียวมาก ชอบพื้นที่ที่ระบายน้ำได้ดีและค่อนข้างแห้งแล้ง ต้องการน้ำปานกลาง ต้องการแสงแดดตลอดทั้งวัน ทว่าต้องเว้นระยะในการปลูกให้ห่างจากตัวบ้านประมาณ 6-10 เมตร เพื่อป้องกันไม่ให้รากไปก่อความเสียหายกับบ้านได้
2. กาสะลองคำ
กาสะลองคำ หรือปีบทอง (Tree Jasmine) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Radermachera ignea (Kurz) Steenis เป็นพรรณไม้ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลในจังหวัดเชียงราย เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงกลาง สูงประมาณ 6-20 เมตร ผลัดใบ ยอดรูปไข่แคบโปร่ง ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก 2 ชั้น แผ่นใบเป็นรูปรีหรือรูปไข่คล้ายใบหอก ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ ส่วนดอกออกเป็นกระจุก มีสีส้มหรือสีส้มอมเหลือง กลีบดอกเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแตกเป็น 5 แฉกสั้น ๆ คล้ายระฆัง มักออกดอกในช่วงเดือนมกราคม-เมษายน นิยมปลูกเป็นไม้ประดับริมถนนและริมสระน้ำ
กาสะลองคำสามารถขยายพันธุ์ได้ด้วยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง และปักชำกิ่งและหน่อ สามารถปลูกได้ในดินทั่วไป โดยต้องการแสงแดดเต็มวัน และความชื้นปานกลาง-สูง แต่เจริญเติบโตค่อนข้างช้า
3. ทองกวาว
ทองกวาว (Flame of the Forest, Bastard Teak) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Butea monosperma (Lam.) Taub. เป็น ต้นไม้มงคล ที่เชื่อกันว่าหากปลูกไว้ในบ้านจะทำให้มีเงินทองไหลมาเทมา เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ สูงประมาณ 8-18 เมตร ผลัดใบ ยอดเป็นพุ่มทึบ กิ่งคดงอ ใบออกเป็นช่อ เรียงสลับ ปลายใบมน โคนใบสอบ เนื้อใบหนา หลังใบเรียบ ท้องใบสาก ส่วนดอกออกเป็นช่อ มีสีแสด สีแดง และสีเหลือง รูปทรงคล้ายดอกถั่วขนาดใหญ่ ฐานดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วยป้อม ๆ ส่วนปลายดอกแยกเป็นกลีบ มักออกดอกและทิ้งใบในช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ จากนั้นจึงเริ่มผลิใบใหม่เมื่อดอกโรย นิยมปลูกเป็นไม้ประดับและเป็นไม้ริมทาง
ทองกวาวนิยมขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด แต่ก็สามารถปักชำได้ด้วยเหมือนกัน โดยให้ผสมดินปลูกด้วยการผสมปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกเข้ากับดินร่วนในอัตราส่วน 1:2 พร้อมเว้นระยะห่างในการปลูกให้เหมาะสมกับขนาดของทรงพุ่ม จากนั้นดูแลด้วยการปลูกไว้กลางแจ้งหรือปลูกให้โดนแสงแดดจัด ๆ รดน้ำประมาณ 7-10 วันต่อครั้ง รวมถึงใส่ปุ๋ยปีละประมาณ 3-5 ครั้งด้วย
4. ทองหลาง
ทองหลาง หรือปาริชาต (Coral Tree) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Erythrina variegata เป็นต้นไม้มงคลที่สื่อถึงเงินทองและความร่ำรวย อีกทั้งยังเชื่อว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ปลูกบนสวรรค์ในสมัยพุทธกาล มีลักษณะเป็นไม้ยืนต้น สูงประมาณ 5-20 เมตร ยอดเป็นพุ่มโปร่ง ใบออกเป็นช่อประมาณ 3 ใบ โดยใบกลางจะโตกว่าใบข้าง มีรูปทรงคล้ายใบโพธิ์ ส่วนดอกออกติดกันเป็นช่อ มีสีแดงเข้ม สีแดงอมส้ม หรือสีชมพู ลักษณะคล้ายดอกถั่ว มักออกดอกในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์
ทองหลางนิยมขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด ปักชำ และตอนกิ่ง ชอบดินร่วนซุย ชอบแสงแดดจัดหรือกลางแจ้ง ต้องการน้ำปานกลาง ประมาณ 5-7 วันต่อครั้ง ต้องการปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 ปีละ 3-4 ครั้ง ทนทานต่อโรคต่าง ๆ ได้ค่อนข้างดี แต่มีปัญหาเรื่องเพลี้ยต่าง ๆ มากัดแทะใบ จึงต้องหมั่นดูแลและทำลายตัวอ่อนของเพลี้ยด้วยการใช้ยาคาร์บาริล (Carbaryl) ในอัตราส่วนที่เหมาะสม
5. พวงโกเมน
พวงโกเมน (New Guinea Creeper, Red Jade Vine) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Mucuna bennettii F. Muell. เป็นไม้เลื้อยดอกสวย จึงนิยมปลูกเลื้อยต้นไม้หรือทำเป็นซุ้มประตู โดยมีลักษณะไม้เถาเลื้อยขนาดเล็กเนื้อแข็ง เลื้อยได้ไกลประมาณ 20-25 เมตร ใบเป็นใบประกอบเรียงสลับ แตกออกเป็นพุ่มแน่น มีลักษณะเป็นรูปไข่หรือรูปหัวใจ โคนใบมนเว้าเข้าหากัน ปลายใบแหลม ส่วนดอกมีสีแสดหรือสีแดงเพลิง ออกเป็นช่อ เป็นพวงห้อยลงมาขนาดใหญ่ คล้ายดอกแคหรือดอกถั่ว ไม่คลี่บาน และมีขนาดไม่เท่ากัน โดยจะออกดอกดกมากในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน แต่ก็ออกในช่วงฤดูฝนด้วย
พวงโกเมนนิยมขยายพันธุ์ด้วยการปักชำและตอนกิ่ง โดยจะเจริญเติบโตเร็วและมีอายุยืน อีกทั้งยังไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน ส่วนการดูแลให้ปลูกในดินร่วนที่อุดมสมบูรณ์และปลูกไว้ที่กลางแจ้ง เพราะเป็นพรรณไม้ที่ชอบแสงแดด ชอบความชื้นค่อนข้างสูง ต้องการน้ำปานกลาง แต่พยายามอย่ารดน้ำจนดินแฉะ พร้อมทั้งใส่ปุ๋ยธรรมชาติบริเวณโคนต้นปีละประมาณ 2 ครั้งด้วย
6. พวงแสด
พวงแสด (Orange Trumpet, Flame Flower) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pyrostegia venusta., Miers. เป็นอีกหนึ่งไม้เลื้อยดอกสวย โดยมีลักษณะเป็นไม้เถาเลื้อยขนาดใหญ่ เลื้อยได้ไกลมากกว่า 40 ฟุต มีเถาอ่อนสีเขียว เถาแก่สีน้ำตาล ใบเป็นใบประกอบมี 3 ใบย่อย เรียงสลับ โคนใบมน ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ มีหน้าที่เป็นมือคอยยึดเกาะสิ่งต่าง ๆ ส่วนดอกออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง เป็นสีส้มแสด รูปทรงกรวย เรียวยาว ปลายดอกบาน มักออกดอกในช่วงเดือนธันวาคม-มีนาคม
พวงแสดนิยมขยายพันธุ์ด้วยการปักชำและตอนกิ่ง ชอบดินร่วนที่ผสมปุ๋ยธรรมชาติ ชอบแสงแดดจัดกลางแจ้ง ทนความแห้งแล้งได้พอสมควร ไม่ค่อยมีโรคหรือแมลงรบกวนมาก สามารถรดน้ำวันเว้นวันได้ เพราะไม่ต้องการน้ำมาก แต่ถ้าอยากให้ดอกออกไวขึ้น ก็สามารถใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์เร่งดอกในช่วงที่ต้นใกล้ออกดอกก็ได้
7. แคแสด
แคแสด แคแดง หรือ ยามแดง (African Tulip Tree, Fire Bell, Fountain Tree) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Spathodea campanulata P.Beauv. เป็นไม้ยืนต้น สูงประมาณ 8-24 เมตร ผลัดใบถ้าอยู่ในที่แห้งแล้ง ยอดทรงกลมทึบ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ปลายคี่ เรียงสลับ รูปไข่หรือรูปรี โคนใบเบี้ยว ปลายใบติ่งแหลม ขอบใบเรียบ มีขนเล็กน้อย ส่วนดอกออกเป็นช่อ มีสีแดงหรือสีแดงอมส้ม ออกเป็นจำนวนมาก แต่ร่วงค่อนข้างง่าย โดยต้องมีอายุมากกว่า 4 ปีขึ้นไป ถึงจะออกดอก
แคแสดนิยมปลูกด้วยการเพาะเมล็ด เป็นต้นไม้ที่โตเร็ว ทนลม ทนแล้ง โดยจะโตได้ดีมากในดินร่วนที่ระบายน้ำได้ดี ชอบแสงแดดจัด ๆ และเหมาะจะปลูกในที่โล่งหรือริมทะเล
คอร์เดีย หรือหมันแดง (Cordia, Geiger Tree) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cordia sebestena L. มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกาเขตร้อน นิยมปลูกเป็นไม้ประดับเพราะมีสีสันสดใสสวยงาม มีลักษณะเป็นไม้พุ่มขนาดใหญ่หรือไม้ยืนต้นขนาดเล็ก สูงประมาณ 3-10 เมตร ผลัดใบ ยอดรูปไข่ โปร่ง ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปไข่ โคนใบมนเว้า ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ เป็นคลื่นเล็กน้อย ผิวด้านบนสาก ด้านล่างเรียบ ส่วนดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่งตลอดทั้งปี มีสีส้มหรือสีแดง ลักษณะคล้ายรูปกรวย มีผลสดทรงกลมถึงไข่ มีเนื้อนุ่มกินได้
คอร์เดียนิยมขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด ปักชำ และตอนกิ่ง เจริญเติบโตค่อนข้างเร็ว ปลูกได้ในดินทั่วไป แต่ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์ ชอบแสงแดดเต็มวัน ชอบความชื้นปานกลาง ไม่ชอบน้ำขัง และทนต่อทุกสภาพอากาศ
9. ประทัดไต้หวัน
ประทัดไต้หวัน หรือประทัดทอง (Coloradillo) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hamelia patens Jacq. มีถิ่นกำเนิดอยู่ในอเมริกาเขตร้อนและเขตกึ่งร้อน มีลักษณะเป็นไม้พุ่มขนาดกลาง สูงประมาณ 1-2 เมตร ยอดเป็นทรงพุ่มเกือบกลม ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปไข่หรือรูปรี โคนใบมน ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ส่วนดอกออกเป็นช่อแบบกระจุก มีสีส้มแดง โคนของกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 5 แฉก นิยมขยายพันธุ์ด้วยการปักชำและตอนกิ่ง ชอบดินร่วนปนทราย ชอบแสงแดดจัด ๆ ต้องการน้ำปานกลาง โดยผู้คนนิยมนำมาปลูกเป็นแนวรั้ว ริมทางเดิน และกำแพง
10. เปลวสุริยัน
เปลวสุริยัน ตำลึงทอง หรือ ไฟเดือนห้า (Mexican Flame Vine, Orange Glow Vine) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pseudogynoxys chenopodioides (Kunth ) Cabr. เป็นพรรณไม้ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศโคลอมเบีย เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็งขนาดเล็กถึงขนาดกลาง เลื้อยได้ไกลประมาณ 4-8 เมตร มีหนามปกคลุมเถาอ่อน ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปหอก โคนใบมน ปลายใบแหลม ขอบใบเป็นจัก แผ่นใบหนาและแข็ง ส่วนดอกออกเป็นช่อ ขนาดเล็ก มีสีส้มอมแดง มักจะบานในช่วงเดือนธันวาคม-มีนาคม เนื่องจากดอกมีสีสันสวยงามสะดุดตาและส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ผู้คนจึงนิยมปลูกเป็นไม้ประดับในกระถาง ปลูกเป็นซุ้มประตู และปลูกทำแนวรั้ว
เปลวสุริยันสามารถขยายพันธุ์ได้ด้วยการเพาะเมล็ด ปักชำ และตอนกิ่ง โดยจะเจริญเติบโตค่อนข้างเร็ว เลี้ยงดูไม่ยาก ชอบดินร่วนปนทรายที่อุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำดี และถ่ายเทอากาศได้ดี ชอบแสงแดดจัด ๆ เต็มวัน ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง
11. ทับทิม
ทับทิม (Pomegranate, Punica Apple, Granada) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Punica granatum L. เป็นต้นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปแถบเอเชีย ยุโรป และแอฟริกา เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก สูงประมาณ 1-5 เมตร ยอดเป็นพุ่มโปร่ง มีหนามตามกิ่งก้านบริเวณซอกใบ ใบเป็นใบเดี่ยว รูปหอก ยาวรี ปลายใบแหลม โคนใบมน ผิวใบเรียบเป็นมัน ขอบใบเรียบ ส่วนดอกจะออกบริเวณปลายกิ่ง มีทั้งสีส้ม สีแดง และสีขาว มีผลทรงค่อนข้างกลม ออกสีเหลืองอมแดงเมื่อสุก มีเนื้อและเมล็ดอยู่ด้านใน
ทับทิมสามารถขยายพันธุ์ได้ด้วยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง เสียบยอด ติดตา และปักชำ ซึ่งช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูกต้นทับทิมมากที่สุดก็คือ ต้น-กลางฤดูฝน และอย่าลืมระวังเรื่องปลวกกินรากในช่วงแรก ๆ ที่ปลูก
ถึงแม้ว่าสวนสีเขียวจะช่วยให้เรารู้สึกสดชื่นได้อยู่แล้ว แต่ถ้าหากลองเพิ่มสีสัน เช่น สีส้มหรือสีแสด เข้าไปด้วยละก็ รับรองเลยว่าจะช่วยให้สวนสวยงามและน่ามองขึ้นอีกเยอะเลยล่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก วนานันทอุทยาน, องค์ความรู้เพื่อการพัฒนาพื้นที่สูงอย่างยั่งยืน, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช/กาสะลองคำ, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช/ทองกวาว, ไม้ประดับออนไลน์/ทองกวาว, ไม้ประดับออนไลน์/ทองหลาง, มหาวิทยาลัยรามคำแหง สาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดขอนแก่น, ไม้ประดับออนไลน์/พวงแสด, อุทยานหลวงราชพฤกษ์, สารานุกรมพันธุ์ไม้, ไม้ประดับออนไลน์/คอร์เดีย, ข้อมูลพันธุ์ไม้, วิชาเกษตร/เปลวสุริยัน, กรมป่าไม้, ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ และ วิชาเกษตร/ทับทิม
