
วิธีปรับอารมณ์ เปลี่ยนลุคบ้าน ให้เหมาะกับการผ่อนคลายได้ง่าย ๆ เพียงเลือกระดับความสว่างและแสงไฟที่ใช่ ให้เหมาะสมกับการใช้งานของห้องต่าง ๆ ภายในบ้าน
บ้านที่น่าอยู่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสไตล์การตกแต่งที่ใช่เพียงอย่างเดียว เพราะเคยสังเกตไหมว่าสถานที่สำหรับพักผ่อนหลาย ๆ แห่ง นอกจากจะเน้นการตกแต่งภาพลักษณ์ให้ดูสวยงามน่ามองแล้ว ยังให้ความสำคัญกับการเลือกใช้แสงไฟด้วย ซึ่งที่จุดนี้เองที่คุณสามารถนำปรับใช้เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศในบ้านได้ง่าย ๆ เลย ด้วยการเลือกแสงไฟที่ใช่กับระดับความสว่างที่เหมาะสม แล้วบ้านของคุณก็จะน่าอยู่ ดูสบาย ไม่จำเป็นต้องตกแต่งอะไรมากมาย ก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้เหมือนกัน

1. ห้องนั่งเล่น
พื้นที่ส่วนกลางอเนกประสงค์สำหรับทุกคนในครอบครัว เพื่อให้ทุกคนมีความสนุกสนานไปกับการดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือ ฟังเพลง จัดงานปาร์ตี้กับเพื่อน ๆ หรือครอบครัวของคุณ จึงมองข้ามการเลือกหลอดไฟไม่ได้เลย
โทนสีที่ควรใช้ : โทนแสงสีเหลืองอบอุ่นหรือวอร์มไวท์ ช่วยปรับบรรยากาศให้ดูอบอุ่น ผ่อนคลาย สบาย ๆ ไม่เคร่งเครียด แต่หากต้องการบรรยากาศที่มีความกระฉับกระเฉง ต้องการใช้สมาธิแนะให้เลือกใช้โทนสีขาวหรือคูลเดย์ไลท์จะเหมาะกว่า
ระดับความสว่าง : หากกิจกรรมในห้องนั่งเล่นเป็นกิจกรมที่ใช้สำหรับการเอนเตอร์เทน ให้เลือกระดับความสว่างที่ 40% หรือหากต้องการอ่านหนังสือ ทำงาน หรือเย็บปักงานฝีมือ กิจกรรมที่ต้องเพ่งสายตา ควรเลือกระดับความสว่างที่ 100%
ประเภทของไฟ : โคมไฟดาวน์ไลท์เป็นพื้นฐานสำหรับบ้านในปัจจุบัน เพราะให้แสงสว่างที่เพียงพอ แต่หากจะทำให้บ้านดูดีมีสไตล์ยิ่งขึ้น แนะนำให้เลือกใช้โคมไฟสปอร์ตไลท์ส่องกำแพงช่วยสร้างมิติ หรือส่องกับสิ่งของที่ตั้งโชว์ เช่น ของสะสม ตู้โชว์ และตุ๊กตาตัวโปรด ก็ได้เช่นกัน

2. ห้องน้ำ
พื้นที่ที่ต้องการความสะอาด สบายตา และสร้างความผ่อนคลายแบบในห้องนอนควรมีแสงสว่างที่ดี มองเห็นได้ชัดเจน แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรมีสวิตช์ในห้องน้ำ แต่ถ้าหากจำเป็นต้องติดตั้งควรใช้สวิชต์ที่ป้องกันละอองน้ำได้ระดับนึง
โทนสีที่ควรใช้ : สำหรับห้องน้ำที่เน้นความปลอดภัยเป็นสำคัญนั้นเหมาะกับแสงคูลไวท์ เพราะมีความสว่างในระดับที่พอดีไม่สว่างจ้าหรือนุ่มนวลเกินไปสำหรับการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในห้องน้ำ เช่น โกนหนวดหรือแต่งหน้า
ระดับความสว่าง : ระดับความสว่างควรเห็นมองเห็นได้ชัดเจนในทุกทิศทาง โดยเฉพาะโคมไฟติดผนังข้างกระจก เพื่อไม่ให้ต้องกังวลว่าเงาของแสงจะทำให้การแต่งหน้าผิดเพี้ยน
ประเภทของไฟ : คนทั่วไปนิยมใช้โคมไฟติดเพดานให้แสงสว่างพื้นฐาน แล้วติดโคมไฟติดผนังด้านข้างกระจกเพิ่ม โดยหลีกเลี่ยงการติดโคมไฟเหนือกระจก เพราะจะทำให้เกิดเงา

3. ห้องนอน
เพราะห้องนอนไม่ได้ใช้สำหรับนอนหลับพักผ่อนเท่านั้น แต่ยังเป็นที่สำหรับแต่งตัว อ่านหนังสือ หรือดูโทรทัศน์ แสงสว่างจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างมาก ที่จะช่วยให้ห้องนอนสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
โทนสีที่ควรใช้ : แสงสว่างที่ดีในห้องนอน ควรตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย ในขณะเดียวกันก็ควรช่วยปรับบรรยากาศให้ดูนุ่มนวล ผ่อนคลาย จึงเหมาะกับแสงวอร์มไวท์มากที่สุด
ระดับความสว่าง : นอกจากเป็นแสงที่ดูนุ่มนวล อ่อนโยน และดูผ่อนคลายแล้ว ก็ควรมีความสว่างมากเพียงพอต่อการทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยแบ่งแยกกันไปตามพื้นที่ เช่น กิจกรรมแต่งหน้า อ่านหนังสือ หรือนั่งทำงาน ควรใช้ความสว่างที่ 100% กิจกรรมดูหนังฟังเพลงหรือพูดคุยกับคนรู้ใจ ควรปรับระดับความสว่างที่ 40% และปรับระดับความว่างที่ 10% สำหรับการเตรียมนอนหลับพักผ่อน เพื่อให้พร้อมเริ่มต้นกับวันใหม่
ประเภทของไฟ : สามารถเพิ่มสวยงาม หรูหรา และความน่าสนใจให้กับห้องนอนได้ โดยการติดตั้งไฟสปอร์ตไลท์ส่องเน้นสิ่งของ เช่น ของสะสมตั้งโชว์ในห้อง หรือเลือกไฟที่สามารถเปลี่ยนสีของแสง เพื่อปรับความหลากหลายบรรยากาศ ตามอารมณ์ และความต้องการ

4. ห้องรับประทานอาหาร
นอกจากจะเป็นพื้นที่สำหรับรับประทานอาหารแล้ว ยังเป็นจุดนัดพบปะพูดคุยกันทั้งของคนในครอบครัวและเพื่อนฝูง เพื่อทำให้บรรยากาศบนโต๊ะมีความเป็นกันเอง
โทนสีที่ควรใช้ : แสงวอร์มไวท์ จะช่วยให้ทำให้ห้องรับประทานอาหารมีดูโรแมนติก อบอุ่น และนุ่มนวล ทั้งยังเสริมสร้างความสง่างามและบรรยากาศที่ผ่อนคลายยิ่งขึ้น
ระดับความสว่าง : รระดับความสว่างของห้องรับประทานอาหารควรอยู่ที่ 100% หรือถ้าหากต้องการจะเปลี่ยนโต๊ะอาหารเป็นพื้นที่สังสรรค์ ควรมีระดับความสว่างอยู่ที่ 50% หรือขึ้นอยู่กับโอกาสและความเหมาะสม
ประเภทของไฟ : พื้นที่ที่เหมาะกับการตกแต่งด้วยไฟสปอร์ตไลท์หรือโคมไฟระย้าก็จะทำให้บริเวณนี้ดูสวยงาม ทั้งยังสามารถเพิ่มระดับความหรูหราได้ โดยการจัดแสงส่องไปยังชั้นวางอุปกรณ์หรือสิ่งของที่ทำจากแก้ว

5. ห้องครัว
แสงสว่างสำหรับพื้นที่แห่งนี้ ควรมีทั้งความน่าสนใจในด้านความสวยงามและน่าดึงดูด เพราะจะช่วยให้อาหารมีความสดใหม่ สะอาดตา และควรเพิ่มความปลอดภัยในระหว่างการปรุงอาหารด้วย
โทนสีที่ควรใช้ : เหมาะกับแสงไวท์หรือคูล เดย์ไลท์ ที่ให้ความรู้สึกตื่นตัว กระฉับกระเฉง เพื่อลดเหตุการณ์ที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุ เช่น มีดบาด หยิบวัตถุดิบผิด และสะดวกต่อการทำกิจกรรมต่าง ๆ ภายในห้องครัว เช่น Philips LED SceneSwich Tone Color หลอดไฟนวัตกรรมใหม่จาก Philips ที่สามารถเปลี่ยนสีได้ในหลอดเดียว โดยไม่ต้องเปลี่ยนสวิชต์

ระดับความสว่าง : ระดับความสว่างของห้องครัวควรอยู่ที่ 100% และมีความสว่างทั่วถึง แต่ถ้าหากใช้พื้นที่ร่วมกับห้องรับประทานอาหาร ควรจัดแสงสว่างแยกพื้นที่ทั้ง 2 ออกจากกัน หรือใช้หลอดไฟที่สามารถสลับแสงสีระหว่างวอร์มไวท์และคูล เดย์ไลท์ สำหรับการใช้งานและบรรยากาศที่แตกต่างกัน
ซึ่งตอนนี้ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนสวิชต์ใหม่อีกเช่นกัน เพราะมี Philips LED SceneSwitch Brightness Change หลอดไฟที่สามารถปรับความสว่างได้ถึง 3 ระดับในหลอดเดียว ไม่ว่าสถานการณ์ไหนก็เอาอยู่

ประเภทของไฟ : เหมาะกับการใช้โคมไฟติดเพดานหรือโคมไฟ Uplight โดยจำนวนของโคมไฟขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่ อาจเสริมความสว่างเพื่อลดเงาด้วย LED Strip Lighting และเพิ่มความน่าสนใจด้วยการใช้โคมไฟสปอร์ตไลท์ไฮไลท์จุดต่าง ๆ เช่น จุดจัดวางจานหรือช้อน-ส้อม
หลอดไฟทั้งวอร์มไวท์ คูลไลท์ และเดย์ไลท์ ให้แสงที่แตกต่างกัน ซึ่งคุณสามารถนำจุดนี้มาเปลี่ยนบรรยากาศในบ้านได้ง่าย ๆ เพียงเลือกประเภทของหลอดไฟให้เหมาะกับการใช้งานเท่านั้นเอง หากไม่อยากเปลี่ยนหลอดไฟบ่อย หรือหงุดหงิดกับบรรยากาศที่ไม่เป็นใจ เพราะแสงและสีของหลอดไฟไม่ปรับไปตามอารมณ์ หลอดไฟ Philips LED SceneSwich Tone Color และหลอดไฟ Philips LED SceneSwitch Brightness Change หลอดไฟคุณภาพจาก Philips เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีมาก ๆ เพราะนอกจากจะเป็นหลอดไฟที่เปลี่ยนได้ 2 โทนสีแล้ว ยังสามารถปรับระดับความสว่างได้ถึง 3 ระดับในหลอดเดียว คุ้มค่า คุ้มราคา แบบนี้หาไม่ได้จากหลอดไฟทั่วไปนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก