Springkler สปริงเกลอร์ (Life and Home)
Story : พิมพ์ชนก เกตุนวม
"น้ำ" เป็นเรื่องที่สำคัญค่ะ เพราะสิ่งมีชีวิตทุกอย่างบนโลกนี้ล้วนแต่ต้องพึ่งพาอาศัยน้ำทั้งนั้น กว่าที่ต้นไม้ตะเจริญเติบโตขึ้นมาได้ ต้องมีการหล่อเลี้ยงด้วยน้ำ ดั่งพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระองค์ทรงดำริว่า "หลักสำคัญว่าต้องมีน้ำบริโภค น้ำใช้เพื่อการเพาะปลูก เพราะว่าชีวิตอยู่ที่นั่น ถ้ามีน้ำคนอยู่ได้ ถ้าไม่มีน้ำคนอยู่ไม่ได้ ไม่มีไฟฟ้าคนอยู่ได้ แต่ถ้ามีไฟฟ้าไม่มีน้ำคนอยู่ไม่ได้" ดังนั้นเพื่อเป็นการใช้ทรัพยากรน้ำให้คุ้มค่า เรามาจัดสรรการใช้น้ำในพื้นที่สวนกัน ซึ่งการใช้สปริงเกลอร์ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการประหยัดน้ำ ประหยัดเวลา แถมยังสะดวกสบายทุ่นแรงของเราไปได้อีกเยอะเลยค่ะ
ระบบสปริงเกลอร์ คืออะไร ?
ระบบสปริงเกลอร์ คือ การบีบอัดฉีดน้ำ ให้แตกเป็นสายและหมุนเหวี่ยงไปรอบ ๆ ต้นไม้ พืชผัก พืชสวน ช่วยฉีดเพื่อลดอุณหภูมิที่ร้อนนั้นให้ได้รับความเย็น ชื่นฉ่ำด้วยละอองน้ำ
การเลือกใช้หัวสปริงเกลอร์
1. สปริงเกลอร์ ธรรมดา เหมาะสำหรับสวนในพื้นที่ขนาดเล็กที่ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง
2. มินิสปริงเกลอร์ เหมาะสำหรับสวนหย่อมที่ต้องการประหยัดน้ำให้ปริมาณน้ำน้อย ทำให้ประหยัดขนาดท่อและขนาดปั๊ม
3. สปริงเกลอร์ POP-UP เหมาะสำหรับสนามหญ้าที่มีพื้นที่ค่อนข้างกว้างมีความสวยงามเมื่อติดตั้งเสร็จ ไม่เกะกะพื้นที่ มีความสวยงามเมื่อติดตั้งเสร็จ ไม่เกะกะพื้นที่ ความคงทน
4. หัวน้ำหยด เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ไม่ต้องอาศัยแรงดัน ประหยัดน้ำ แต่ใช้เวลาทำงานมากกว่าสปริงเกลอร์
5. หัวพ่นหมอก ใช้ปริมาณน้ำน้อย แต่ใช้แรงดันมาก (4 bar) ใช้ละอองละเอียดเหมือนหมอก ใช้กับสวนกล้วยไม้ โรงเห็ด หรือใช้ลดอุณหภูมิของบ้านในหน้าร้อน ช่วยสร้างบรรยากาศในร้านอาหาร
การทำงานของระบบสปริงเกลอร์
ระบบสปริงเกลอร์รดน้ำต้นไม้อัตโนมัติ มีองค์ประกอบของอุปกรณ์หลัก ๆ ดังนี้
1. หัวจ่ายน้ำ (Sprinkler Head) มีหลายชนิด ถ้าแบ่งตามลักษณะการฉีดน้ำจะมีแบบ spray head, rotor หรือแบบน้ำหยดทั้งนี้การเลือกใช้งานจะต้องเลือกให้เหมาะสมกับลักษณะของพื้นที่ ชนิดของดินและพืช
2. วาล์วไฟฟ้า (Solenoid Valve) ใช้ไฟฟ้าความต่างศักย์ต่ำ (24 โวลท์) จากคอนโทรลเลอร์ในการสั่งการให้วาล์วเปิด-ปิด
3. คอนโทรลเลอร์ (Controller) เป็นอุปกรณ์ที่สั่งให้วาล์วไฟฟ้าเปิดปิดตามเวลาและระยะเวลาที่กำหนดไว้
4. เครื่องสูบน้ำ (Pump) ระบบสปริงเกอร์ใช้แรงดันน้ำค่อนข้างสูงจึงจำเป็นจะต้องมี เครื่องสูบน้ำที่เหมาะสมกับระบบโดยเฉพาะ
5. ระบบตั้งเวลารดน้ำ (timer) อุปกรณ์ตั้งเวลาซึ่งเราสามารถเลือกได้ว่าจะใช้แบบธรรมดาหรือดิจิตอล
รดน้ำด้วยสปริงเกลอร์
แนะนำให้ใช้กับบ้านที่มีพื้นที่สวนขนาดใหญ่ รายการอุปกรณ์ มีดังนี้
1. ท่อ-ข้อต่อ
2. บอลวาล์ว
3. เครื่องตั้งเวลาอัตโนมัติ
4. สปริงเกลอร์
รูปแบบต่าง ๆ ของสปริงเกลอร์
รูปแบบของสปริงเกลอร์ต่างกันออกไปตามการใช้งานซึ่งสามารถจำแนกหลัก ๆ ได้ดังนี้
สปริงเกลอร์แบบน้ำหยด เป็นสปริงเกลอร์ ที่มีอัตราจ่ายน้ำน้อยมากประมาณ 1-20 ลิตร/ชม. จ่ายน้ำออกมาในลักษณะเป็นหยดหรือถ้าอัตราการจ่ายน้ำสูง ก็จะไหลเป็นสายน้ำ มีการอุดตันได้ง่าย พืชที่เหมาะแก่การใช้หัวจ่ายแบบน้ำหยด ได้แก่ การปลูกพืชระยะสั้น พืชผัก ไม้ดอก ไม้กระถาง เป็นต้น
สปริงเกลอร์แบบหัวพ่นฝอย เป็นสปริงเกลอร์ ที่พ่นกระจายน้ำแบบเป็นละอองขนาดเล็กหรือเป็นเส้นมีรัศมีการกระจายน้ำใกล้ ๆ ระยะประมาณไม่เกิน 1.5 เมตร เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการรัศมีการพ่นน้อย เช่น แปลงผักต้นไม้ หรือพุ่มไม้เล็ก ๆ ตามสวนในบ้าน ไม้ผลไม้ยืนต้นที่ทรงพุ่มไม้ไม้ใหญ่ เป็นต้น
แบบหัวมินิสปริงเกลอร์ เหมาะสำหรับสวนขนาดใหญ่เนื่องจากมีการกระจายน้ำให้เลือกหลากหลายครอบคลุมการใช้งาน หัวจ่ายน้ำแบบมีนิสปริงเกลอร์ปกติ จะใช้งานที่แรงดันประมาณ 15-20 เมตร สปริงเกลอร์ มีอัตราการจ่ายน้ำที่หลากหลายขนาด การเลือกอัตราจ่ายน้ำน้อย ๆ มีข้อดีที่ใช้ขนาดท่อส่งน้ำ และเครื่องสูบน้ำเล็กได้ แต่มีข้อเสียที่ใช้เวลาการให้น้ำนาน มีอัตราการจ่ายน้ำสูง และนอกจากนี้ยังมีโอกาสที่จะเกิดปัญหาอุดตันที่รูฉีดได้ง่าย เนื่องจากรูฉีดมีขนาดเล็ก
ข้อดีของการรดน้ำแบบสปริงเกลอร์ คือ
การใช้น้ำระบบนี้จะช่วยเพิ่มความชื้นในอากาศบริเวณที่ปลูกต้นไม้ได้ และสามารถช่วยลดอุณหภูมิในบริเวณที่เราปลูกต้นไม้ได้ เหมาะสมสำหรับกรณีปลูกต้นไม้ที่มีความต้องการน้ำแตกต่างกัน โดยเฉพาะถ้าต้นไม้มีขนาดทรงความหนาแน่น พุ่มต่างกัน เพราะขนาดของและความหนาแน่นทรงพุ่มจะมีผลโดยตรงต่อปริมาณน้ำที่ระบบรากจะได้รับ แนะนำอีกหนึ่งอย่างสำหรับบุคคลที่บ้านปลูกต้นไม้ ประเภทไม้ป่าดิบชื้น (Rain Forest) ควรมีอย่างยิ่ง เช่น ไม้จำพวกมอส หรือเฟิร์น เพราะไม้ประเภทนี้ต้องการน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งค่ะ
ข้อควรรู้ของการรดน้ำโดยใช้ระบบสปริงเกลอร์ คือ
ส่วนเรื่องข้อเสียนั้นหลัก ๆ แล้วเป็นเรื่องของแรงดันน้ำที่จะต้องได้ขนาดความแรงที่กำหนดเพื่อนต้นน้ำในแต่ละจุด โดยปกติแล้วระบบน้ำหยดต้องการแรงดันน้ำขนาด 1 บาร์ แต่ระบบน้ำแบบสปริงเกลอร์นั้นต้องการตั้งแต่ 4 บาร์เป็นต้นไป ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับขนาดของหัวสปริงเกลอร์ที่ต้องการแรงดันมากขึ้น ยิ่งหัวสปริงเกลอร์ใหญ่เท่าไหร่ก็ต้องการแรงดันมากขึ้นเท่านั้น และข้อเสียอีกเรื่องหนึ่งของระบบน้ำแบบสปริงเกลอร์นั้นก็เป็นเรื่องของจำนวนน้ำที่ต้องใช้ในปริมาณมาก ซึ่งหากวางแผนหรือจัดการพื้นที่ไม่ดีต้นไม้ก็อาจจะไม่ได้รับน้ำอย่างเต็มที่
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
No.229 มกราคม 2557