อยากปลูกเมลอนบนระเบียงคอนโดต้องทำอย่างไร อยากรู้วิธีปลูกเมลอน มาดูการปลูกเมลอนบนระเบียงคอนโดไว้เป็นตัวอย่าง แม้มีพื้นที่น้อยก็สามารถปลูกเมลอนไว้กินเองได้เหมือนกัน
ถ้าพูดถึงเมลอนสิ่งแรกที่จะผุดขึ้นมาในความคิดนั่นก็คือ ผลไม้สีสวย ๆ มีกลิ่นหอม ชวนรับประทาน แต่ราคาค่อนข้างแพงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน เช่นเดียวกับ คุณ manoch_yjd สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่บังเอิญได้เห็นการปลูกเมลอนและพบว่าน่ากินไม่แพ้แคนตาลูปของโปรดของตัวเอง เลยกลายจะปลูกเมลอนบนระเบียงคอนโดเอาไว้กินเองบ้าง เลยการเป็นรีวิวแชร์ประสบการณ์การปลูกเมลอนบนระเบียงคอนโด ไว้เป็นข้อมูลให้กับคนที่อยากปลูกเมลอนกินเองที่บ้านบ้าง
ปลูกเมลอนบนระเบียงคอนโดกินเองกันเถอะ…^^
โดย คุณ manoch_yjd
แรกเริ่มเดิมทีเป็นคนชอบกินแคนตาลูปอยู่แล้ว ส่วนไอ้ผิวลาย ๆ ที่เรียกว่าเมลอนนั้นไม่เคยกินเลย เพราะราคาแพงและแอบเสียดายเงิน รู้แค่ว่ามันเป็นพืชตระกูลแตงแบบแคนตาลูปนั่นแหละ พอเข้ามาอ่านในพันทิปก็เห็นหลายคนปลูกกันได้น่ากินมาก ๆ เลยลองหาข้อมูลจากกลุ่มของคนปลูกเมลอนในเฟซบุ๊ก อย่างเช่น กลุ่มปลูกเมลอนแบบบ้านบ้านและอีกหลายกลุ่ม จึงทำให้ความอยากปลูกเมลอนมันเพิ่มขึ้นมาทันทีทันใด ครั้งแรกปลูกในกระถางดินบนระเบียงคอนโดปรากฏว่าไม่ได้ผลครับ
- เลยเริ่มใหม่ลองเปลี่ยนวิธีการปลูกเอาแบบที่ไม่เลอะเทอะและจัดการง่าย ด้วยการลองปลูกลงในกล่องโฟม นำกล่องโฟมขนมเค้กของร้านกาโตว์ เฮ้าส์ มาเจาะรู ส่วนถ้วยปลูกใช้เป็นถ้วยโยเกิร์ตนี่แหละ นำมาเจาะรู อุปกรณ์ในส่วนนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายเพราะขอเขามา...ฮา ฮา
- อุปกรณ์ต่อมาที่จะต้องเตรียมก็มี EC meter เครื่องวัดปุ๋ยกับ pH meter เครื่องวัดความเป็นกรด-ด่างของน้ำ และสารละลายธาตุอาหารในพืชหรือเรียกง่าย ๆ ก็คือ ปุ๋ยไฮโดรโปนิกส์ครับ ซึ่งจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ตัวคือปุ๋ย A และปุ๋ย B ขั้นตอนแรกให้เอาเมล็ดแช่น้ำอุ่นไว้ประมาณ 6-8 ชั่วโมง แล้วนำมาบ่มในกล่องที่มีกระดาษทิชชูรองก้นไว้ ปิดทับด้วยทิชชู และพรมน้ำด้วยสเปรย์ให้ชุ่ม แต่อย่าพรมน้ำจนแฉะนะเดี๋ยวเมล็ดเน่า
- 2 ต้นแรกผมปลูกพันธุ์พอร์ท ออเรนจ์ ซื้อเมล็ดมาแช่เย็นไว้เกือบปี พอนำไปเพาะ 4 ต้น งอกออกมาให้ปลูกแค่ 2 ต้น พอเมล็ดงอกเป็นเขี้ยวเล็ก ๆ จับใส่ฟองน้ำที่ผ่าช่องกากบาทเอาไว้ตรงกลาง จากนั้นแช่ไว้ในน้ำให้ระดับน้ำสูงประมาณครึ่งฟองน้ำครับ ใช้เวลา 3 วันก็งอกแล้ว เมื่อมีใบจริงโผล่ขึ้นมาก็ย้านไปปลูกในถ้วยโยเกิร์ตที่เตรียมไว้ได้เลยครับ
- ตอนลงปลูกใหม่ ๆ ควรจะให้ปุ๋ยอ่อน ๆ อย่าผสมปุ๋ยกับน้ำจนเต็มอัตราส่วนนะครับ เดี๋ยวใบไหม้ ขณะที่ต้นยังเล็กให้ผสมน้อย ๆ ค่อย ๆ เพิ่มจนเท่ากับอัตราส่วนสูงสุดของปุ๋ยที่ผู้ขายกำหนดไว้ครับ...แอบเพาะเพิ่มอีก 2 ต้น
- ช่วงระหว่างที่ต้นกำลังโต ก็คอยริดแขนงที่ออกมาจากข้อที่ 1-8 ทิ้งไป เริ่มไว้แขนงข้อที่ 9-12 ครับ ต้นเมลอนจะไม่ออกดอกตัวเมียโดยตรงจากต้น แต่จะมีกิ่งแขนงออกมาจากต้นครับ
- ขั้นตอนการผสมเกสร เมื่อดอกตัวเมียบานให้เอาพู่กันแต้มที่ดอกตัวผู้ แล้วเอามาแต้มที่เกสรตัวเมียแค่นั้น ถ้าจะให้ดีควรใช้ดอกเกสรตัวผู้ 3 ดอกต่อดอกตัวเมีย 1 ดอกครับ เพื่อความชัวร์ (ขั้นตอนนี้ไม่มีรูปนะครับพอดีไม่ได้ถ่ายไว้)
- หลังจากผสมเกสรแล้วติดลูกทั้ง 2 ต้นเลยครับ แต่ตายไป 1 ต้น ผมเลยเอาต้นเมลอนพันธุ์กนกจันทร์มาปลูกเพิ่ม จากรูปต้นที่ 3 นับจากขวามือครับและมีมาเสริมอีก 2 ต้นในรูปที่เป็นต้นเล็กครับ
- พันธุ์กนกจันทร์ผสมติดแล้วครับ ลูกกำลังโตไล่กันมา ส่วน 2 ต้นที่เสริมไปทีหลัง พอติดลูกปรากฏว่าลูกเบี้ยวและแคระ ผมเลยตัดทิ้งให้เหลือแค่ 2 ต้น ผมให้ปุ๋ยเข้มไปหน่อยใบเลยไหม้ไปเยอะ ได้แต่ภาวนาอย่าให้ตาย เสียดายใกล้ได้เก็บแล้ว ส่วนที่ใบม้วน ๆ นี่เกิดจากความร้อนของคอมเพรสเซอร์แอร์ครับ เป่าทุกคืนแบบว่าสงสารแต่ถ้าไม่เปิดแอร์คนจะแย่เอา
- ใกล้ได้เก็บแล้วครับ สำหรับเมลอนพันธุ์พอร์ท ออเรนจ์
- เลยเริ่มใหม่ลองเปลี่ยนวิธีการปลูกเอาแบบที่ไม่เลอะเทอะและจัดการง่าย ด้วยการลองปลูกลงในกล่องโฟม นำกล่องโฟมขนมเค้กของร้านกาโตว์ เฮ้าส์ มาเจาะรู ส่วนถ้วยปลูกใช้เป็นถ้วยโยเกิร์ตนี่แหละ นำมาเจาะรู อุปกรณ์ในส่วนนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายเพราะขอเขามา...ฮา ฮา
- อุปกรณ์ต่อมาที่จะต้องเตรียมก็มี EC meter เครื่องวัดปุ๋ยกับ pH meter เครื่องวัดความเป็นกรด-ด่างของน้ำ และสารละลายธาตุอาหารในพืชหรือเรียกง่าย ๆ ก็คือ ปุ๋ยไฮโดรโปนิกส์ครับ ซึ่งจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ตัวคือปุ๋ย A และปุ๋ย B ขั้นตอนแรกให้เอาเมล็ดแช่น้ำอุ่นไว้ประมาณ 6-8 ชั่วโมง แล้วนำมาบ่มในกล่องที่มีกระดาษทิชชูรองก้นไว้ ปิดทับด้วยทิชชู และพรมน้ำด้วยสเปรย์ให้ชุ่ม แต่อย่าพรมน้ำจนแฉะนะเดี๋ยวเมล็ดเน่า
- 2 ต้นแรกผมปลูกพันธุ์พอร์ท ออเรนจ์ ซื้อเมล็ดมาแช่เย็นไว้เกือบปี พอนำไปเพาะ 4 ต้น งอกออกมาให้ปลูกแค่ 2 ต้น พอเมล็ดงอกเป็นเขี้ยวเล็ก ๆ จับใส่ฟองน้ำที่ผ่าช่องกากบาทเอาไว้ตรงกลาง จากนั้นแช่ไว้ในน้ำให้ระดับน้ำสูงประมาณครึ่งฟองน้ำครับ ใช้เวลา 3 วันก็งอกแล้ว เมื่อมีใบจริงโผล่ขึ้นมาก็ย้านไปปลูกในถ้วยโยเกิร์ตที่เตรียมไว้ได้เลยครับ
- ตอนลงปลูกใหม่ ๆ ควรจะให้ปุ๋ยอ่อน ๆ อย่าผสมปุ๋ยกับน้ำจนเต็มอัตราส่วนนะครับ เดี๋ยวใบไหม้ ขณะที่ต้นยังเล็กให้ผสมน้อย ๆ ค่อย ๆ เพิ่มจนเท่ากับอัตราส่วนสูงสุดของปุ๋ยที่ผู้ขายกำหนดไว้ครับ...แอบเพาะเพิ่มอีก 2 ต้น
- ช่วงระหว่างที่ต้นกำลังโต ก็คอยริดแขนงที่ออกมาจากข้อที่ 1-8 ทิ้งไป เริ่มไว้แขนงข้อที่ 9-12 ครับ ต้นเมลอนจะไม่ออกดอกตัวเมียโดยตรงจากต้น แต่จะมีกิ่งแขนงออกมาจากต้นครับ
- ขั้นตอนการผสมเกสร เมื่อดอกตัวเมียบานให้เอาพู่กันแต้มที่ดอกตัวผู้ แล้วเอามาแต้มที่เกสรตัวเมียแค่นั้น ถ้าจะให้ดีควรใช้ดอกเกสรตัวผู้ 3 ดอกต่อดอกตัวเมีย 1 ดอกครับ เพื่อความชัวร์ (ขั้นตอนนี้ไม่มีรูปนะครับพอดีไม่ได้ถ่ายไว้)
- หลังจากผสมเกสรแล้วติดลูกทั้ง 2 ต้นเลยครับ แต่ตายไป 1 ต้น ผมเลยเอาต้นเมลอนพันธุ์กนกจันทร์มาปลูกเพิ่ม จากรูปต้นที่ 3 นับจากขวามือครับและมีมาเสริมอีก 2 ต้นในรูปที่เป็นต้นเล็กครับ
- พันธุ์กนกจันทร์ผสมติดแล้วครับ ลูกกำลังโตไล่กันมา ส่วน 2 ต้นที่เสริมไปทีหลัง พอติดลูกปรากฏว่าลูกเบี้ยวและแคระ ผมเลยตัดทิ้งให้เหลือแค่ 2 ต้น ผมให้ปุ๋ยเข้มไปหน่อยใบเลยไหม้ไปเยอะ ได้แต่ภาวนาอย่าให้ตาย เสียดายใกล้ได้เก็บแล้ว ส่วนที่ใบม้วน ๆ นี่เกิดจากความร้อนของคอมเพรสเซอร์แอร์ครับ เป่าทุกคืนแบบว่าสงสารแต่ถ้าไม่เปิดแอร์คนจะแย่เอา
- ใกล้ได้เก็บแล้วครับ สำหรับเมลอนพันธุ์พอร์ท ออเรนจ์
- ส่วนพันธุ์กนกจันทร์ผิวเริ่มกลายเป็นสีเหลืองตามสายพันธุ์แล้วครับ
- เมลอนถ้าจะให้หวานเราต้องให้ปุ๋ยสูตร 0-0-50 เป็นปุ๋ยเกล็ดละลายน้ำครับ เริ่มให้จาก 10-15 วันสุดท้ายก่อนจะเก็บ ฉะนั้นคนปลูกจะต้องรู้อายุของพันธุ์เมลอนกันด้วยนะครับ ไม่งั้นแทนที่เราจะได้กินเมลอน ก็จะได้กินแตงกวาแทน อิอิ
- ถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้วครับ ลูกเมลอนพันธุ์พอร์ท ออเรนจ์ อายุ 44 วันหลังผสมเกสร จริง ๆ น่าจะไว้นานกว่านี้ แต่โดนไรแดงเล่นงานเลยรีบตัด ชั่งน้ำหนักได้ 9 ขีด อาจจะเล็กไปหน่อย แต่ต้นโทรมตั้งแต่เล็กแถมยังโดนไรแดงเล่นงานอีกต่างหาก ได้แค่นี้ก็ดีใจมากแล้วครับ
- ส่วนลูกเมลอนพันธุ์กนกจันทร์ ใกล้จะได้กินแล้วครับ...ชอบสีมากเหลืองอร่ามเชียว
- เก็บเมลอนพันธุ์กนกจันทร์แล้ว ขนาดใหญ่กว่าลูกแรก ชั่งน้ำหนักได้ 1.2 กิโลกรัม ระหว่างนี้ยังไม่ได้ผ่าลูกเมลอนพันธุ์พอร์ท ออเรนจ์ จับแช่ตู้เย็นไว้ครับ เลยลองเอาออกมาเทียบกัน
- สวยคนละแบบ แต่น่ากินทั้งคู่ครับ
- มาลุ้นรสชาติกัน ผ่าลูกเมลอนพันธุ์พอร์ท ออเรนจ์ก่อน เนื้อจะออกฉ่ำนิด ๆ นุ่มหน่อย ๆ กรอบไม่มาก และมีกลิ่นหอมเล็กน้อยครับหลังผ่า วัดความหวานได้ 13 บริกซ์...อร่อยฟินไปเลย
- อีกไม่กี่วันต่อมาก็ลงมือผ่าลูกเมลอนพันธุ์กนกจันทร์ต่อ รสชาติกรอบนำ กัดดังแกร๊กเลย มีกลิ่นหอมแม้ยังไม่ได้ผ่า ลูกนี้วัดหวานได้ 11 บริกซ์ ถือว่ายังไม่ถึงกับหวานมากแค่คาบเส้น
- ลูกเมลอนพันธุ์กนกจันทร์ที่ต่างจังหวัด...ลูกเล็กกว่าครับเพราะได้แดดน้อย
หากใครอยากปลูกทานเองต้องรู้ข้อมูลก่อนว่าเมลอนชอบแดดมาก ถ้าไม่มีแดดจะปลูกไม่ได้ผลหรือถ้าติดลูกลูกก็จะเล็กครับ ส่วนใครจะเลือกปลูกด้วยวิธีไหนก็ต้องดูความสะดวกของตัวเองเป็นหลัก ที่ผมเลือกปลูกแบบนี้เพราะสะดวกและการจัดการง่าย เนื่องด้วยเวลาที่จำกัดจากการทำงานประจำ ส่วนต้นทุนนั้นจะสูงกว่าการใช้ปุ๋ยเม็ดที่ปลูกแบบดินอยู่พอสมควรครับ แต่ถ้าอยู่บ้านนี่ก็สบายเลยใช้ปุ๋ยเม็ดสูตร 16-16-16 ราคาถูกมากเลยครับ ปลูกกันลืม
+++เพิ่มเติมรายละเอียดของการให้ปุ๋ยครับ+++
มีวิธีปลูกเมลอนหลายวิธี แต่วิธีที่ประหยัดสุดก็คือการใช้ปุ๋ยเม็ดธรรมดาสูตร 16-16-16 จนถึงช่วงทำหวานให้ใช้สูตร 0-0-50 แบบนี้ต้นทุนจะถูกกว่า ผลออกมาได้ลูกใหญ่ด้วยครับ ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับคนที่มีเวลาดูแลทั้งในเรื่องของต้นทุนและผลผลิต
ส่วนผมเอาที่สะดวกเข้าว่าก็เลยลองปลูกด้วยวิธีนี้ดู ซึ่งต้นทุนปุ๋ยก็สูงกว่าแบบเม็ดอยู่พอสมควร ข้อดีคือไม่ยุ่งยากและสะดวกสำหรับคนมีเวลาน้อยครับ เพราะปุ๋ยแบบนี้เขาทำออกมาเพื่อให้สะดวกต่อการใช้งาน ที่เห็นกันเยอะ ๆ คือใช้ในการปลูกผักสลัดครับ ปุ๋ยชนิดนี้แบ่งสารละลายออกเป็น 2 ชนิด เรียกง่าย ๆ ว่า ปุ๋ย A กับปุ๋ย B เขาจะรวมธาตุอาหารสำหรับพืชเอาไว้ครบหมดแล้ว ไม่สามารถเอามารวมกันได้เพราะจะทำให้ตกตะกอน ซึ่งพืชไม่สามารถนำมาใช้ได้เขาเลยแยกออกเป็น 2 ชนิดนั่นเอง
สำหรับเมลอนเป็นพืชที่ต้องการธาตุอาหารเยอะพอสมควร เลยมีคนผลิตปุ๋ยแบบนี้ออกมาขายหลายเจ้าด้วยกัน ลองหารายละเอียดกันดูนะครับ ส่วนใครปลูกผักสลัดไว้ก็เอามาใช้ได้เลย หากต้องการธาตุอาหารเพิ่มเติมก็ให้ซื้อที่โฮมโปรของยี่ห้อโซตัสได้เลยครับ ลักษณะเป็นผงใช้ผสมน้ำเพื่อพ่นให้ต้นไม้
ตอนไปซื้อปุ๋ยเขาให้มาเป็นผงเพื่อนำไปผสมน้ำตามอัตราส่วนที่กำหนดไว้ครับ เช่น ขนาด 2 ลิตร เราก็เตรียมน้ำ 2 ลิตรเอาไว้ 2 ชุด สำหรับชุด A กับชุด B ครับ ผสมเสร็จก็จะได้เป็นแม่ปุ๋ย A กับ B ไว้ใช้งาน ซึ่งอัตราส่วนของการผสมปุ๋ยจะกำหนดโดยผู้ขาย เช่น กำหนดว่าให้ผสมน้ำ 1 ต่อ 200 นั่นก็หมายถึงถ้าเราใช้น้ำ 200 ส่วน ก็ต้องใช้แม่ปุ๋ย A 1 ส่วน ปุ๋ย B 1 ส่วนนั่นเองครับ วิธีการตวงปุ๋ยเราก็ใช้ไซริงค์ฉีดยาดูดเอา
เราใช้ EC Meter วัดความเข้มของปุ๋ยและใช้ pH Meter วัดค่ากรด-ด่างของน้ำ อุปกรณ์ทั้ง 2 อย่างนี้จำเป็นสำหรับการปลูกแบบนี้มากครับ ส่วนการปรับความเป็นกรดเป็นด่างของน้ำ เราจะใช้น้ำยา pH Down ขวดละ 50 บาท ใช้แค่นิดเดียวต่อครั้ง ปกติแล้วน้ำจะมีความเป็นด่างประมาณ 7-7.5 เลยต้องปรับมาให้อยู่ระหว่าง 6.0-6.8 แทน ซึ่งเราสามารถใช้น้ำอัดลมแทนได้แต่จะเปลืองซะเปล่า ๆ ครับ
การทราบข้อมูลของพันธุ์ที่นำมาปลูกนั่นสำคัญมาก เพราะเราจะต้องรู้ว่าพันธุ์ที่เลือกมานั้นใช้เวลาในการปลูกประมาณกี่วัน ถ้าปลูกครั้งแรก ๆ แนะนำให้ปลูกพันธุ์ที่อายุเก็บผลผลิตสั้น ๆ ไว้ก่อน เช่น 60-70 วันเป็นต้นครับ (ผมเอา 30 ลบจะได้นับวันเก็บหลังจากผสมเกสร การผสมเกสรจะต้องจดวันไว้ด้วย ไม่เช่นนั้นจะกะเวลาทำหวานไม่ถูก)
เริ่มแรกพอต้นกล้ามีใบจริงใบที่ 2 ให้ย้ายกล้าลงในถ้วยปลูก ถ้วยปลูกจะแช่อยู่ในน้ำปุ๋ย AB ระดับน้ำเท่าฟองน้ำพอดี อัตราส่วนปุ๋ย 1 ส่วนต่อน้ำ 350 ส่วน (EC โดยประมาณ 1.2) ค่า pH 6.0 ต้นยังเล็กใช้ปุ๋ยน้อย ๆ ไว้ก่อน (วิธีคิดง่าย ๆ สมมุติเราผสมปุ๋ยใช้แกลลอนน้ำ 6 ลิตร เอาไปคูณด้วย 1,000 ก็จะได้เป็น 6,000 มิลลิลิตร และหารด้วย 350 ก็จะได้เป็นส่วนปุ๋ยที่เราต้องเติมผสมลงไปครับ 6,000/350 เท่ากับ 17.1 มิลลิลิตร หรือ 17.1 ซีซี และอย่าลืมปรับให้ค่า pH กันด้วยนะครับ พอครบสัปดาห์แรกกับสัปดาห์ที่ 2 ผมก็ดูดเอาน้ำเก่าออกเพื่อเติมเข้าไปใหม่ให้ปุ๋ยเข้มกว่าเดิม หลังจากนั้นให้เติมอย่างเดียวเพราะต้นจะกินจุขึ้น ไม่ค้างนานเหมือนช่วงแรก ๆ ครับ
เมื่อต้นเริ่มโตขึ้นน้ำก็จะลดระดับน้อยลงเร็ว เราค่อย ๆ ผสมปุ๋ยให้เข้มขึ้นทุกสัปดาห์ จนสูงสุดเท่าที่คนขายเคยบอกไว้ตอนติดลูกครับ ที่สำคัญไม่ควรใส่น้ำถึงโคนต้น แนะนำให้ห่างออกจากโคนต้นประมาณ 1-2 นิ้วเพื่อให้อากาศถ่ายเทและเป็นการป้องกันปัญหาโคนต้นเน่าอีกด้วย เมื่อติดลูกแล้วค่อยขยับค่า pH ให้อยู่ที่ 6.5-6.8 ครับ ก่อนเก็บเกี่ยวประมาณ 10-15 วัน ใช้ปุ๋ยสูตร 0-0-50 ถุงละ 1 กิโลกรัม ราคาไม่เกิน 90 บาท แบ่งออกมา 1 ขีดเอามาผสมน้ำ 1 ลิตรเพื่อใช้เป็นแม่ปุ๋ย ผสมน้ำ 3-5 ซี.ซี. ต่อลิตรสำหรับทำหวานครับให้จนถึงวันเก็บเลยครับ
อันนี้คือรายละเอียดของการปลูกคร่าว ๆ นะครับ หากใครอยากจะลงมือปลูกเองบ้าง ก็ลองเลือกแนวทางให้เหมาะกับตัวเองในเรื่องของเวลา ต้นทุน และความสะดวกครับ ขอตัวไปกินเมลอนก่อนนะครับ...ขอบคุณครับ
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : คุณ manoch_yjd สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม