วิธีปลูกผักเมืองหนาว ใช่ว่าอากาศหนาวแบบเมืองไทยจะปลูกผักเมืองหนาวไม่ได้ซะเมื่อไร เอาเป็นว่าใครอยากมีผักเมืองหนาวสด ๆ สะอาด และไร้สารพิษเอาไว้กินเองที่บ้านตามไปดูวิธีปลูกกันเลย

แค่คิดจะกินผักเมืองหนาวก็ยากแล้ว ไหนจะราคาแพงแถมยังหายากอีกใช่ไหมล่ะคะ แต่ยังไม่เกินความสามารถของทุกคนแน่นอน เพราะวันนี้กระปุกดอทคอมขอต้อนรับลมหนาวด้วยการนำวิธีปลูกผักเมืองหนาวที่ทั้งง่ายและได้ผลดี หรือแม้แต่จะปลูกนอกฤดูเราก็ยังมีเทคนิคดี ๆ มาฝากกันค่ะ ไม่ต้องง้อราคาตลาดหรือรอพืชผลตามฤดูกาลอีกต่อไป ใครชอบผักชนิดไหน ก็ไปดูวิธีปลูกผักและลงมือปลูกพร้อม ๆ กันเลยค่ะ

การปลูกกระเทียมต้นด้วยเมล็ดถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด ก่อนอื่นผสมดินร่วนกับปุ๋ยคอก รดน้ำให้ดินชุ่มแล้ววางไว้ จากนั้นนำเมล็ดกระเทียมต้นมาปลูกลงในหลุมเพาะลึก 1 เซนติเมตร กลบดิน คลุมด้วยฟาง รดน้ำวันละ 1 ครั้ง เมื่อกล้าอายุได้ 60 วัน ย้ายไปปลูกในแปลงหรือกระถางที่มีดินร่วนผสม ปุ๋ยคอก และปุ๋ยหมัก ดูแลรดน้ำตามปกติ แนะนำให้หาตาข่ายมาบังแดดเอาไว้เพราะกระเทียมต้นจะเจริญเติบโตได้ดีในที่อากาศเย็น หลังจากย้ายมาปลูกแล้วให้นับไปอีก 80 วัน ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวมากินได้
2. กะหล่ำปม

สามารถปลูกในไทยได้ด้วยวิธีเพาะเมล็ด โดยการนำเมล็ดมาปลูกในแผงเพาะกล้าที่มีดินร่วนผสมปุ๋ยคอก ฝังหลุมละประมาณ 2-3 เมล็ด หรือหากเพาะในแปลงปลูก ควรเว้นระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 2-4 เซนติเมตร จากนั้นกลบดินและคลุมฟาง รดน้ำด้วยระบบฝอยทั้งเช้าและเย็น เมื่อต้นกล้างอกออกมาให้เก็บต้นที่แข็งแรงที่สุดไว้ 1 ต้นแล้วตัดต้นอื่นทิ้งไป นับไปอีก 30 วัน ต้นก็จะแข็งแรงพร้อมย้ายไปปลูกในกระถางและแปลงที่ดินร่วนผสมปุ๋ยคอก ดูแลรดน้ำเช้า-เย็นให้ดินชื้นตลอดอย่าปล่อยให้ดินแห้ง บำรุงปุ๋ยบ้าง ใช้ฟางคลุมหน้าดิน และหาตาข่ายมาบังแสงแดด ระยะเก็บเกี่ยวจะอยู่ที่ 55-60 วัน หลังย้ายมาปลูก
3. กะหล่ำปลีแดง

กะหล่ำปลีแดงสามารถเติบโตได้ในดินทุกชนิดโดยเฉพาะดินร่วน ก่อนทำการปลูกให้ขุดดินออกมาตากแดดไว้ประมาณ 15 วัน จากนั้นจึงค่อยนำเมล็ดมาปลูก ดูแลรดน้ำแบบระบบฝอย เมื่อต้นกล้าอายุได้ 25 วัน ให้ย้ายไปปลูกในกระถางสูงหรือแปลงลึก 35 เซนติเมตร โดยปลูกด้วยดินร่วนผสมปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมัก ดูแลรดน้ำเช้า-เย็น หมั่นให้ปุ๋ยในช่วง 3 ระยะหลังย้ายกล้า ได้แก่ ระยะแรกอายุ 10 วัน ระยะที่ 2 อายุ 25-30 วัน และระยะที่ 3 อายุ 45-50 วัน ใช้ตาข่ายบังแดด และสามารถเก็บได้เมื่อต้นอายุ 90-100 วัน
4. กะหล่ำดาว

เป็นผักในตระกูลกะหล่ำแต่มีลักษณะหัวเล็กกว่ากะหล่ำชนิดอื่น ๆ ซึ่งปลูกโดยการนำเมล็ดพันธุ์กะหล่ำดาวมาแช่ในน้ำอุ่นประมาณ 30 นาที ผึ่งให้แห้ง แล้วนำไปปลูกในแผงเพาะกล้าใส่ดินร่วน ปุ๋ยคอก และปุ๋ยหมัก ดูแลรดน้ำเช้า-เย็น เมื่อต้นกล้าอายุได้ 20 วัน ให้ย้ายมาปลูกในกระถางหรือแปลงปลูกที่มีดินร่วนผสมปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมักเช่นเคย ดูแลรดน้ำสม่ำเสมอทั้งเช้า-เย็น อย่าปล่อยให้ดินแห้งจนเกินไป ติดตั้งตาข่ายบังแสงเพื่อลดอุณหภูมิ หมั่นปลิดยอดทิ้งหากต้องการเก็บเกี่ยวให้เร็วขึ้น
5. แครอท

เป็นผักเมืองหนาวที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี นิยมปลูกด้วยเมล็ด โดยเริ่มขุดดินออกมาคลุกเคล้ากับปุ๋ยแล้วตากแดดทิ้งไว้ 7 วัน แล้วนำเมล็ดมาหย่อนลงในแผงเพาะกล้า กลบดินไม่ต้องหนามาก นำฟางมาคลุม ดูแลรดน้ำให้ชุ่มทั้งเช้า-เย็น ต้นกล้าจะงอกขึ้นมาและมีใบจริงภายในภายใน 15-20 วัน จากนั้นก็สามารถย้ายมาปลูกในแปลงที่มีความลึกหรือกระถางที่มีความสูงพอสมควร แล้วปลูกด้วยดินร่วนผสมปุ๋ยและน้ำหมักชีวภาพ ดูแลรดน้ำเช้า-เย็น เน้นใช้ระบบพ่นน้ำ ที่สำคัญอย่าปล่อยให้ดินแห้งเกินไป ใส่ปุ๋ยบำรุงเมื่ออายุครบ 1 เดือน ระยะเวลาในการเก็บเกี่ยวจะอยู่ที่ 80-100 วัน
6. เซเลอรี่

แม้เซเลอรี่จะมีหน้าตาคล้ายคลึงกับขึ้นฉ่ายจีนในบ้านเรา แต่จริง ๆ แล้วเซเลอรี่คือขึ้นฉ่ายฝรั่ง ซึ่งมีลักษณะก้านใหญ่และหนากว่าขึ้นฉ่ายจีน วิธีการปลูกแนะนำให้ขุดดินออกมาตากแดดทิ้งไว้ประมาณ 15 วัน เมื่อครบกำหนดให้นำดินมาผสมกับปุ๋ยหมักและปุ๋ยคอก ระหว่างนั้นให้นำเมล็ดพันธุ์ไปแช่เพื่อคัดเมล็ดเสียที่ลอยน้ำทิ้งไป และนำเมล็ดดีไปปลูกในแผงเพาะกล้า ดูแลรดน้ำทั้งเช้า-เย็น ต้นกล้าจะงอกขึ้นมาภายใน 1 สัปดาห์ จากนั้นย้ายไปปลูกในแปลงหรือกระถางที่มีดินตากแดด เซเลอรี่เป็นพืชที่ชอบน้ำมาก ดังนั้นต้องรดน้ำทั้งเช้า-เย็นให้ดินชุ่ม แต่อย่าแฉะจนมีน้ำขัง คอยสังเกตอย่าให้ดินแห้ง บำรุงด้วยปุ๋ยเมื่อต้นมีอายุได้ 1 เดือน สามารถเก็บเกี่ยวได้ในระยะ 60-70 วัน
7. ต้นหอมญี่ปุ่น

แต่จริง ๆ แล้วต้นหอมญี่ปุ่นกับกระเทียมคนละสายพันธุ์กัน ต้นหอมญี่ปุ่นมีลักษณะลำต้นเป็นแผ่น โคนต้นยาว ใบคล้ายหลอดยาว และมีกลิ่นแรงกว่า วิธีปลูกเริ่มจากนำเมล็ดไปแช่น้ำที่ผสมน้ำยากันราทิ้งไว้ 15 นาที ผึ่งให้แห้งแล้วห่อเก็บไว้ 1 คืน จากนั้นนำเมล็ดไปเพาะในแผงเพาะกล้าที่มีดินร่วนผสมปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมัก กดเมล็ดให้ลึก 1 เซนติเมตร กลบดินและคลุมฟาง ดูแลรดน้ำวันละ 1 ครั้ง หลังจาก 60 วันให้ย้ายกล้าไปปลูกในกระถางหรือแปลงปลูกที่มีดินร่วนผสมปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมัก ดูแลรดน้ำตามปกติ ติดตั้งตาข่ายพรางแสงแดด หมั่นบำรุงปุ๋ย สามารถเก็บเกี่ยวได้ในระยะ 60-80 วัน
8. ผักสลัด

สามารถปลูกได้หลายวิธี ไม่ว่าจะนำเมล็ดมาปลูกแบบไฮโดรโปนิกส์หรือเพาะลงในดินที่ดูจะง่ายกว่าวิธีอื่น โดยเริ่มจากนำเมล็ดผักสลัดที่ต้องการปลูกลงในกระถางเพาะกล้าใส่ดินร่วนผสมปุ๋ยคอกและวัตถุอินทรีย์ ดูแลรดน้ำให้ดินชุ่มแต่อย่าแฉะ ภายใน 3-4 สัปดาห์ต้นกล้าจะงอกขึ้นมา หลังจากนั้นก็ให้ย้ายลงไปปลูกในกระถางหรือแปลงปลูกที่มีดินร่วนและปุ๋ย ดูแลรดน้ำให้ดินชุ่มชื่นตลอดเวลา ที่สำคัญต้องไม่แฉะและไม่มีน้ำขัง หมั่นบำรุงปุ๋ยที่เหมาะกับผักสลัดแต่ละชนิด ส่วนมากจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ในระยะ 70-75 วัน
9. พริกหวาน

นับว่าเป็นพริกอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ มีด้วยกัน 3 สีคือ เขียว เหลือง และแดง ปลูกโดยการนำเมล็ดมาฝังในแผงเพาะกล้าใส่ดินร่วนปนทราย กลบดิน รดน้ำให้ชุ่ม ต้นกล้าจะงอกภายใน 10 วัน จากนั้นค่อยย้ายกล้ามาปลูกในกระถางหรือแปลงปลูกที่มีดินร่วนปนทรายผสมปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมัก ดินต้องเป็นดินที่ระบายน้ำได้ดี ดูแลรดน้ำให้ดินชุ่มชื่นสม่ำเสมอ แต่อย่าให้แฉะจนเกินไป ตัดแต่งกิ่งเพื่อให้ผลผลิตมีคุณภาพดี สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ภายใน 70-80 วัน
10. มะเขือม่วง

มะเขือม่วงเป็นพืชที่สามารถเจริญเติบโตได้ในดินทุกชนิด เริ่มจากขุดดินมาตากทิ้งไว้ 10 วัน แล้วนำเมล็ดมะเขือม่วงมาเพาะลงในแผงเพาะกล้า ดูแลรดน้ำให้ชุ่มแต่อย่าแฉะ เมื่อผ่านไป 30-40 วันต้นกล้าจะงอกขึ้นมา จากนั้นย้ายไปปลูกในกระถางที่มีกาบมะพร้าว ปุ๋ยหมัก และปุ๋ยคอก ช่วงแรก ๆ ควรให้น้ำแบบระบบหยด เมื่อต้นแข็งแรงดีแล้วค่อยรดน้ำตามปกติ แต่อย่าให้แฉะจนเกินไป ติดตั้งตาข่ายเพื่อให้โดนแดดรำไร และสามารถเก็บเกี่ยวได้ในระยะ 50-60 วัน
เทคนิคปลูกผักเมืองหนาวนอกฤดูกาล
- ฤดูร้อน : เมื่ออุณหภูมิโดยรอบสูงเกินกว่าที่พืชเมืองหนาวเหล่านี้จะรับได้ แนะนำให้ใช้ฟางคลุมหน้าดินเพื่อรักษาความชุ่มชื่นในดิน แต่ถ้าหากว่าอากาศร้อนและมีแสงส่องมามากเกินไป ให้นำกระดาษขาวหรือฟอยล์อะลูมิเนียมมาคลุมแทน เพื่อสะท้อนแสงแดดออกจากดินช่วยลดอุณหภูมิให้ต่ำลง และยังช่วยรักษาความชุ่มชื่นของดินได้ดีอีกด้วย
- ฤดูฝน : หากอยู่ในช่วงเพาะเมล็ดในแผงเพาะกล้า เราจะต้องลดแรงกระแทกของน้ำฝนที่ตกลงมาด้วยการนำผ้าดิบหรือฟางมาคลุมหน้าดินไว้ในระหว่างที่ฝนกำลังตก และเปิดรับแสงแดดตอนเช้าหรือตอนเย็น หรือช่วงที่ไม่มีฝนตก เพื่อระบายอากาศและป้องกันความอับชื้น แม้ผักเมืองหนาวจะชอบความชื้นในดินขนาดไหน แต่เราก็ต้องดูแลให้ความชื้นนั้นสมดุลด้วยการเลือกดินเนื้อร่วนหรือดินร่วนปนทรายมาปลูก ไม่ให้ดินอุ้มน้ำมากเกินไปจะช่วยให้ระบายน้ำได้ดี ไม่มีน้ำท่วมขัง หากใครปลูกในแปลงก็ควรก่อดินให้สูงและโปร่งคล้ายหลังเต่า เพื่อไม่ให้มีน้ำขังแถมยังรักษาการกัดเซาะของหน้าดินได้ด้วย
ไหน ๆ ก็ย่างเข้าหน้าหนาวแล้ว มาลองปลูกผักเมืองหนาวเอาไว้กินเองตามวิธีการที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ดีกว่าค่ะ เพราะต่อให้ราคาผักเมืองหนาวตามท้องตลาดจะแพงแค่ไหน เราก็ไม่ง้อ เพราะเราสามารถปลูกผักสด ๆ เอาไว้เองที่บ้านได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก vegetweb, plookphak, doa, alangcity.blogspot และ thaikasetsart