รีโนเวทคอนโดมือสอง จากสภาพห้องร้างเก่าคร่ำครึ กลายเป็นห้องใหม่สุดหรูสไตล์อเมริกัน แถมมีวิวมองเห็นทะเล มาดูกันว่าน่าอยู่ขนาดไหนเลยดีกว่า
ใครกำลังมองหาคอนโดมือสองวิวติดทะเลเหมือนกันบ้าง ส่วนใหญ่ราคาค่อนข้างแพงเพราะด้วยทำเล แต่สำหรับคนงบน้อยต้องใช้สอยอย่างประหยัดลองมองหาคอนโดเก่า ๆ หน่อยแล้วมารีโนเวทกันดีไหม เหมือนอย่าง คุณสมาชิกหมายเลข 1415794 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ไปซื้อคอนโดเก่าแล้วมาแต่งใหม่ด้วยไอเดียบรรเจิด โดยนำเฟอร์เก่า ๆ มาสร้างมูลค่าเพื่อแต่งห้องธีมทะเลให้ดูสวยเลอค่าน่าอยู่สุด ๆ สิบปากว่าหรือจะเท่าตาเห็น ลองเลื่อนลงไปดูภาพและไอเดียเจ๋ง ๆ พร้อมกันเลยจ้าลุย ! รีโนเวทคอนโดผีสิงริมทะเลที่หัวหิน โดย คุณสมาชิกหมายเลข 1415794 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม เรื่องราวในครั้งนี้เกิดขึ้นมาได้ร่วม ๆ สามสี่ปีมาแล้วครับ มันเป็นช่วงฤดูฝนที่อากาศแถบชายทะเลแรงลมพัดกำลังเย็นสบาย นักท่องเที่ยวก็เบาบาง เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจเป็นยิ่งนัก หลังจากที่ผมได้ตัดสินใจขายบ้านริมหาดเจ้าสำราญ จังหวัดเพชรบุรีไป ด้วยเหตุผลต่าง ๆ ทั้งเรื่องของความสิ้นเปลืองในการดูแลรักษาโดยเฉพาะสวนรอบ ๆ บ้านที่ต้องต่อสู้กับความเค็มของไอทะเล และทำเลที่ออกจะเงียบเหงาไปสักหน่อยสำหรับหนุ่มโสด ปฏิบัติการนกน้อยย้ายรังจึงเริ่มต้นขึ้น พร้อมกับเป้าหมายการหารังใหม่กับทำเลที่สะดวก เหมาะกับสังคมยุคประชากรกำลังจะลด
ช่วงเวลานั้นทำเลแถบหัวหินชะอำกำลังบูม มีโครงการกำลังเปิดใหม่เป็นจำนวนมาก ราคาเสนอขายต่อตารางเมตรสำหรับยูนิตที่หน้าติดทะเลชั้นล่าง ๆ ไม่มีอะไรมาบดบังก็ร้อนแรงไม่แพ้กัน หลาย ๆ โครงการดันกันไปแตะแสนปลาย ๆ จนถึงสองแสนบาทต่อตารางเมตร โฆษณาสวยหรูถึงสิ่งที่จะมีพร้อมสรรพทั้งจริงและไม่จริง จนทำให้สิ่งที่น่ากลัวกว่าทนายและงูก็คือลมปากของเซลส์โครงการที่จะกล่าวอะไรก็ได้โดยไม่มีกระดาษ และเราก็ยังไม่เห็นห้องและวิวจริง ๆ จากห้องเลย ผมจึงเลือกที่จะดูทั้งโครงการเก่าและใหม่ไปพร้อม ๆ กัน
หลังจากตระเวนหารังใหม่ไปได้สิบกว่าที่ ผมก็เปิดไปเจอประกาศขายของธนาคารแห่งหนึ่งสีน้ำทะเล เนื้อที่ประมาณ 90 ตารางเมตร เลื่อน ๆ ดูรูปถ่ายและทำเลไม่น่าพิศวาสเอาเสียเลย มีแต่รูปห้องมืด ๆ และผนังโล่ง ๆ รายละเอียดก็ระบุเพียงเล็กน้อย แต่ยังไงเสียเพื่อไม่ให้เสียเที่ยวก็แวะดูเสียหน่อยก็แล้วกัน ช่วงหน้าฝนต้นไม้ตามซอยริมทะเลทั่วไป ก็จะรกหน่อย แต่คอนโดแห่งนี้ค่อนข้างจะรกเป็นพิเศษ แต่นั่นก็ไม่ทำให้หนุ่มชาวป่าอย่างเราไหวหวั่น ระยะทางจากถนนใหญ่เข้าไปก็พอสมควรอยู่ ซึ่งข้อดีก็คือทำให้ทำเลเงียบสงบ ไร้เสียงรถยนต์วุ่นวาย มีเพียงเสียงคลื่นและลมโบกต้นไม้ ระหว่างทางที่ขับเข้าไป ในใจเราก็นึกว่าสงสัยคงเสียเที่ยวอีกเป็นแน่แท้ เมื่อมาถึงด้านหน้าโครงการ รปภ.ก็ถามไถ่และขอแลกบัตร พร้อมกับส่งยิ้มให้อย่างมีเลศนัยแบบว่า ไอ้ห้องนี้อีกละมาดูคนที่ล้านกว่า เดี๋ยวก็ไปมือเปล่า บริเวณรอบ ๆ เงียบเชียบเป็นยิ่งนัก แต่เราก็คิดใจดีสู้เสือไปเสียว่า "เอาน่า... คอนโดตากอากาศก็แบบนี้แหละ วันปกติคงไม่ค่อยมีคนอาศัยอยู่กัน" แต่ประเมินจากภายนอกแล้วอายุอาคารก็ประมาณ 20 ปีตั้งแต่ยุคฟองสบู่ มืดนิด ๆ เวลาเมฆมาก พอสร้างบรรยากาศวังเวงนิด ๆ หลอนหน่อย ๆ แต่เมื่อมาแล้วก็ต้องไปให้ถึงที่สุด เรื่องราวจึงดำเนินต่อไป
หลังจากรายงานตัวกับท่านนิติ ผมก็ได้พี่รปภ. นำพาเดินลัดเลาะผ่านล็อบบี้โถงสูงสามชั้น ด้วยความเงียบเราก็ได้ยินเสียงฝีเท้ากันเองก้องไปก้องมาเป็นจังหวะ และแล้วเราก็มุ่งไปยังห้องที่ประกาศขายนั้นผ่านทางเดินสลัว ๆ ของอาคาร ทั้ง ๆ ที่เป็นเวลาราว ๆ เพียงบ่ายสี่โมง แต่ความมืดของเมฆฝนก็ทำให้บรรยากาศมันช่างขมุกขมัว กึ่งหลับกึ่งตื่นยิ่งนัก
และแล้วเราก็มาถึงที่หน้าห้องเป็นประตูไม้สักเก่า ๆ กระจกใสเจียปลี มีกระดาษลังปิดอยู่จากภายในไม่ให้มองเห็นเข้าไปในห้อง อารมณ์เหมือนมาดู crime scene ยังไงยังงั้น
- เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็เจอภายในห้องแบบนี้ครับ มันช่างวังเวงอ้างว้างยิ่งนัก
- ที่มุมห้องมีหิ้งพระพร้อมกระถางธูปและดอกไม้ในตำแหน่งที่เด่นเกินปกติ
- ข้าวของต่าง ๆ ก็กระจัดกระจาย เหมือนผู้อยู่เดิมจะย้ายออกไปอย่างเร่งรีบ
- ปฏิทินบนผนังก็บ่งบอกปี 2544 ในใจเราก็คิดไปว่า ทำไมนะ มันนานขนาดนั้นเชียวหรือที่คอนโดแบบนี้มันจะไร้เนื้อคู่ หรือมันจะมีเหตุผลอื่นทำให้มันร้างมานานเสียขนาดนี้ ในใจก็คิด ขาก็ขยับก้าวเข้าไปภายในห้องด้วยแรงดึงดูดบางอย่าง แล้วผมก็ได้เห็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ขนลุกซู่
- มันคือ วิวครับ วิวจากห้องนี้ที่มองเห็นชายหาด ทะเล ทิวต้นมะพร้าว และสระว่ายน้ำ ซึ่งมาพร้อมกับเอฟเฟกต์ ทั้งเสียงคลื่น และลมทะเล ถ้าอยู่ชั้นเสียงที่สูงกว่านี้ เราจะเห็นเพียงน้ำทะเลและขอบฟ้าเพียงอย่างเดียว ไม่มีหาด ไม่มีต้นมะพร้าว ไม่มีเสียงคลื่นคอยกล่อมอารมณ์ เหมือนไปทะเลแต่ลืมเอาลำโพงไปด้วย ประมาณนั้น
มาถึงจุดนี้จะหลอนขนาดไหนก็สู้ครับกับบรรยากาศแบบนี้ ระหว่างรอชวนไปเที่ยวหลังอื่น ๆ บ้างนะครับ
-
บ้านผีสิงริมแม่น้ำแควน้อย -
บ้านผีสิงที่ดอยอินทนนท์ เมื่อวิวมันต้องมนตร์เสียขนาดนี้ มีหรือปากกาในกระเป๋าทำงานมันจะอยู่สุข มันก็ดิ้นขยุกขยิก อยากจะขีดเขียนตัวเลขให้มันรู้แล้วรู้รอดไป (งวดนี้ไม่เล่นเกมทายราคาซื้อแล้วนะครับเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง) ก็เลยเป็นอันว่าโทรหาธนาคารเจรจาต่อรองไป บอกว่าลดราคาให้ผมสิบเปอร์เซ็นต์แล้วโอนเลย โอนด่วน ไม่ต้องรอลุ้น เอาเงินฟาด ป๊าป ๆ ! เอ้ย จริง ๆ ก็เจรจาไปตามกระบวนการครับ ไม่มีอะไรมาก อย่างแย่ที่สุดธนาคารก็จะบอกว่าไม่ได้ต้องราคาเต็ม ก็ตามน้ำไป ส่วนใหญ่ธนาคารจะเป็นผู้ออกค่าภาษีต่าง ๆ ประมาน 3-4% ส่วนเราก็รับผิดชอบค่าโอน 2% ยกเว้นเวลาธนาคารมีโปรโมชั่น ก็อาจจะแถมค่าโอนให้เรา อันนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ครับ
หลังจากติดต่อวางเงินมัดจำและนัดโอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็กลับมาที่ฐานบัญชาการครับ ไอเดียคราวนี้ไม่มีอะไรมาก จะแต่งให้หรูด้วยงบยาจกครับ กระเป๋าแบน ๆ กลัวแฟนจะทิ้ง ก็เลยกลับมาบ้านจัดการรื้อ ๆ ค้น ๆ อะไรที่มันพอจะนำมาดัดแปลงตกแต่งห้องได้ ก็จัดมาครับ
แต่ก่อนอื่นเลย ก่อนที่จะเริ่มลงมือต้องตามหาแรงบันดาลใจก่อนครับ เด็กอินดี้อย่างนี้มีหรือจะตามกระแสลอฟท์เลิฟอะไรไม่สนครับ นั่งระลึกถึงอารมณ์แรกที่เราไปเจอกับทรัพย์ตัวนี้ มันให้ความรู้สึกแบบงานสถาปัตย์หลักของอาคารที่เป็นอยู่ ค่อย ๆ นั่งระลึกชาติไปก็ตกผลึกครับ อารมณ์นี้มันต้อง American East Coast แบบพวก Cape Cod, Nantucket, Martha\'s Vineyard ประมาณนั้น แต่ที่น่าแปลกที่สุดคือ ห้องนี้ อารมณ์นี้มันทำให้เรานึกถึงคุณแม่ขึ้นมาเฉยเลย อบอุ่น เรียบ ๆ สบาย ๆ มันช่าง Nantucket อะไรเช่นนี้ เมื่อพอจะมีแรงบันดาลใจแล้วเราก็พยายามหาข้อมูลเพิ่มเกี่ยวกับสไตล์ที่เหมาะกับห้องครับ อารมณ์ก็จะประมาณนี้
- เมื่อได้แรงบันดาลใจแล้ว เราก็มาจัดการหาซากแห่งอารยธรรมที่บ้านครับ แล้วก็เจอนี่ ตู้ไม้อัดยุค 80’s ปลาย ๆ ที่น่าเอาไปบูชายัญในกองไฟเสียนี่กระไร แต่ที่ไม่เคยได้ทิ้งไปก็เพราะตู้รุ่นนี้อย่างน้อยโครงด้านในก็เป็นไม้สักครับ ไม่ใช่ไม้สนหรือไม้ยางจ๊อยท์อย่างตู้รุ่นหลังถัดจากนั้นมา
- รื้อไปเรื่อย ๆ ก็มาเจออีกชิ้นหนึ่งครับ โต๊ะยุค 90’s รุ่นราวคราวเดียวกันที่สภาพยับเยิน ขนาดมหึมาดีมาก คู่ควรแก่คุณค่า American ที่ต้องใหญ่ไว้ก่อน
- ตามมาด้วยเตียงอาบแดด งานชาวบ้านริมสระว่ายน้ำตัวเก่าที่มองกี่ทีก็ขัดหูขัดตา เลยเอามันไปทิ้งไว้ในห้องเก็บของเสียนาน จะว่าไปจริง ๆ แล้วของทุกชิ้นสวยงามหมดครับ เพียงแต่มันจะเหมาะในสถานที่ของมันเท่านั้นเอง
- ตามมาด้วย sideboard บ้า ๆ บอ ๆ ที่ใครก็ไม้รู้ต่อไว้ใช้เก็บของในครัวเก่าของคุณย่า
- และอีกชิ้นหนึ่งตู้ไม้ยางกร่อน ๆ บุสังกะสีธรรมดาที่ขี้เหร่เสียนี่กะไร
มาถึงตอนนี้ หลาย ๆ คนก็คงคิดว่า โอ้พระเจ้า ถ้าเอามันไปตั้งรวมกันเลยนะตอนนี้ในห้องที่คอนโด มันจะต้องเป็นห้องยาจกไปเลยเสียจริง ๆ ด้วย มันเละเทะมาก แต่ช้าก่อนครับ ถึงเราจะอยู่ในสังคมสมัยนี้ที่แม้แต่ทีวีหรือวิทยุเสียแล้วต้องทิ้งเลย ไม่ซ่อมใหม่ แต่เราจะสวนกระแสครับ นำมันกลับมา Upcycle แล้วทำให้ตู้ที่ขายทิ้งสามร้อยคนซื้อยังบังคับให้แถมไปส่งให้ฟรี กลายเป็นตู้ 30,000 ที่เห็นตามพวก Design Square หรือ Living Mall กันดีกว่า
เมื่อเราเลือกวัสดุต่าง ๆ มาได้แล้ว ต่อไปก็ต้องมาทำให้ชิ้นงานต่าง ๆ เข้ากับคอนเซ็ปต์ของห้องครับ การทำให้เข้าคอนเซ็ปต์มีสองแบบครับ ไม่ว่าเราจะทำมันขึ้นมาเองหรือจะไปซื้อมาจากที่ไหนก็แล้วแต่ เราดึงชิ้นงานให้ไปด้วยกันได้หลาย ๆ แบบ นั่นก็คือโครงร่างและสีครับ
American East Coast แบบ Cape Cod หรือ Nantucket จะเป็นสไตล์แบบบ้านริมทะเลที่มีรากเหง้าของความเป็นยุโรปสูงกว่าดินแดนทางตะวันตกของ USA เนื่องด้วยมันเป็นพื้นที่แรก ๆ ที่มีการลงหลักปักฐานกันของชาวยุโรปที่อพยพมายังดินแดนแห่งใหม่ แต่ถึงกระนั้นมันก็มีสปิริตของความไม่ยึดติดในกฎเกณฑ์เดิม ๆ ที่มีอยู่อย่างชัดแจ้งในยุโรป ของแต่งบ้านและงานสถาปัตย์จึงสะท้อนออกมาด้วยการประยุกต์วัสดุพื้นถิ่น ความสะดวกสบายง่าย ๆ แบบอเมริกัน และความอยากเป็นผู้ดีแบบยุโรปปน ๆ กันไป จึงเป็นที่มาของรูปแบบการตกแต่งที่ใช้เฟอร์นิเจอร์แบบยุโรปคลาสสิก แต่จัดวางตามใจฉันแบบอเมริกันครับ
เมื่อตกผลึกแล้วเราก็จัดการนำน้องตู้ (ไม่ใช่น้องตู่นะครับ) น้องโต๊ะมาขัดสีฉวีวรรณ เตรียมมอบสัญชาติอเมริกันให้แก่พวกเขาไป
- เริ่มจากโต๊ะตัวนี้ที่จะเอาไปทำโต๊ะกินข้าวครับ
- เราก็เริ่มโดยการรื้อส่วนที่ผุ ๆ พัง ๆ ออก
- แล้วเปลี่ยนเอาไม้อัดแผ่นใหม่ใส่เข้าไปในจุดที่ต้องซ่อมแซม ข้อดีของโต๊ะตัวนี้ก็คือ มันถูกทำขึ้นในยุค 90’s โดยยึดคติแบบ Post Modernism จึงมีการตกแต่งด้วยคิ้วไม้ไปตามส่วนขอบต่าง ๆ ของโต๊ะ ซึ่งช่วยดึงให้โต๊ะตัวนี้มีความเป็น East Coast มากกว่า West Coast ที่จะชอบอะไรที่เรียบและล้ำสมัยกว่านี้มาแต่ไหนแต่ไร มันก็เป็นเรื่องบังเอิญไปที่การซ่อมตัวนี้ไม่ต้องทำอะไรมาก
- เมื่อซ่อมงานโครงสร้างมั่นคงแข็งแรง และขัดกระดาษทรายเสร็จแล้วก็ลงสีย้อมไม้ครับ สีที่ใช้อันนี้คือ สี Oak ของ Berger ลงไปที่ท็อปหน้าโต๊ะ
- ส่วนขาโต๊ะผมเลือกใช้สีน้ำมัน Connecticut Blue ครับ มันให้อารมณ์ทะเลแบบที่ยังสุขุมอยู่ reserve ๆ แบบ East Coast
- การพ่นสีจะทำให้เนื้องานสวยครับ เรียบเนียนไม่มีรอยแปรง ถ้าใครอยากทำเองเล่น ๆ ที่บ้านก็ต้องลงทุนประมาณ 5,000 บาทเป็นอย่างน้อยสำหรับค่าปั๊มลม และกาพ่นสี ถ้าทำเยอะ ๆ ก็คุ้มครับ ประหยัดแรงงานไปเยอะ
- พอเสร็จแล้วก็ออกมาหน้าตาแบบนี้ครับ ได้อารมณ์ทะเลแบบผู้ดีหน่อย ๆ แต่ไม่ยุโรปจ๋า ค่าซ่อมโต๊ะตัวนี้ไปทั้งหมด ประมาณ 2,000 บาท ค่าแรงอีก 800 บาท
1. สีน้ำมัน 700 บาท
2. สีย้อมไม้ 300 บาท
3. ไม้อัดแผ่นครึ่ง 600 บาท
4. จิปาถะ 400 บาท
- แล้วตัวอื่น ๆ ก็ตามมาครับ ตู้ใบนี้ก็จัดการเอามาซ่อมส่วนที่ผุ
- เอาลูกกรงบันไดเก่า ๆ มาแต่งให้ได้อารมณ์คลาสสิกนิด ๆ ในราคาสบายกระเป๋า
- แล้วก็ลงสีรองพื้นไม้ และลงสี Surf Spray ครับ ให้อารมณ์ที่สนุกสนานเหมือนละอองคลื่น โยงให้ชิ้นงานมีอารมณ์ทะเลเข้ากับเฟอร์นิเจอร์อื่น ๆ
- มือจับแบบเดิมไม่เข้ากับคอนเซ็ปต์เท่าไร ก็เปลี่ยนเป็นทองเหลืองรมดำครับ ทะเลกับทองเหลืองเป็นของคู่กัน ออกมาก็หน้าตาแบบนี้ครับ วันนั้นมีคุณอาที่คอนโดมาให้ราคา 15,000 บาท เพราะเราบอกว่าเป็นของมือสอง ถ้ามือหนึ่งเขาจะให้ 30,000 ครับ ไม่อยากบอกว่าหมดไปประมาณพันกว่าบาทเท่านั้นเอง
- อีกสีหนึ่งที่ให้อารมณ์ทะเล โดยที่ไม่ต้องเป็นโทนสีฟ้า หรือเขียว Turquoise ก็คือ สีขาวแบบ White Wash ครับ เพราะไม้ที่แช่น้ำทะเลนาน ๆ มันจะขึ้นขี้เกลือสีขาวออกมาโดยธรรมชาติ ทำให้เราสามารถสร้างอารมณ์ทะเลได้อีกแบบครับ
- พอดีมีเศษไม้สักสั้น ๆ เหลืออยู่ที่บ้านก็เลยเอามาต่อเป็นกล่อง เพื่อทำโต๊ะกลาง (โต๊ะกาแฟ) แล้วก็ลงสี White Wash ไป เทคนิคนี้ทำไม่ยากครับ แค่ผสมทินเนอร์เยอะ ๆ ลงไปในสีน้ำมันสีขาวแล้วเอาไปทาเนื้อไปที่เราต้องการแบบนี้ครับ อารมณ์ให้มันเหมือนหีบที่ได้จากการส่งสินค้าทางทะเล
- อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับอารมณ์ Cape Cod ก็คือ เตาผิงครับ อุปกรณ์พร้อม ใจพร้อมเราก็ต่อกันไป คือจริง ๆ ก็จะเอาไว้ใส่ตรงมุมห้อง ที่เราเล็งไว้แล้วว่าแนวผนังมันหักมุมเข้าไปแปลก ๆ และจะเอาอะไรไปวางไว้มันก็ยาก เลยเอาเตาผิงนี้ใส่เข้าไป แถมยังจะเอาไว้ซ่อนทีวีได้อีกต่างหาก
- และเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ต่อชุดครัวเองไปเลย จะไปซื้อทำไม 50,000 70,000 บาท ทำเองเนี่ยแหละ 4,000 บาทพอ ท็อปใช้ไม้สักทำครับ ใครจะว่ามันนิ่มก็จริง แต่ผมไม่ตำน้ำพริก หรือเอาอีโต้สับหมูบนนั้นอยู่แล้ว อีกอย่างยูรีเทนก็ช่วยเคลือบแข็งได้ในระดับหนึ่งครับ
ระหว่างนั้นก็จัดให้มีการทาสีใหม่ไปด้วยเพราะสีเก่าที่เขาใช้ในตอนแรกอายุก็เกินยี่สิบปีมาแล้ว มันเริ่มร่อนเป็นฝุ่นแป้งละเอียด ๆ ซึ่งเรื่องนี้ก็แก้ไม่ยากครับ แนะนำให้ลงรองพื้นอย่างดีไปจะช่วยให้การยึดเกาะดีขึ้นก็ลงสีใหม่ เรื่องนี้ปรึกษาเซลส์ขายสีตามร้านค้าได้ครับ หลังจากเตรียมสรรพาวุธเสร็จเรียบร้อยก็ทำการเคลื่อนย้ายกำลังพลไปยังรังแห่งใหม่ครับ
- เมื่อมาถึงก็จัดชุดครัวเข้าที่ให้เรียบร้อยติดเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้าไป สังเกตเครื่องดูดควันนะครับ สำหรับชาวคอนโดสมัยนี้จะมีหลายรุ่นที่มีไส้กรองอากาศในตัว ทำให้เราไม่ต้องยุ่งยากในการทำปล่องออกไปทิ้ง แต่ไส้กรองนี้ก็ต้องคอยเปลี่ยนอยู่เรื่อย ๆ ข้อดีคือติดตั้งง่าย แต่ข้อเสียคือถ้าอาหารกลิ่นแรงมาก ๆ ยังไงเครื่องก็สู้ไม่ไหวอยู่ดีครับ
- เสร็จแล้วก็ติดกระเบื้องเข้าไปเพื่อให้ง่ายต่อการทำความสะอาดคราบอาหาร กระเบื้องที่ผมเลือกใช้ก็คือกระเบื้องแก้วดินเผาลำปาง ราคาต่อแผ่นขนาด 4 นิ้วจะอยู่ที่ราว ๆ 11 ถึง 15 บาทแล้วแต่สี เวลาใช้ 100 แผ่นจะปูได้ 1 ตารางเมตร รวม ๆ แล้วก็ตกประมาณ 1,000 กว่าบาทต่อตารางเมตรครับ
- สีนี้เป็นสี Turquoise อมฟ้าครับ ให้อารมณ์เหมือนเป็นการดึงสีของน้ำทะเลจากภายนอกเข้ามาภายใน ทำให้พื้นที่รู้สึกเป็นส่วนเดียวกันทั้ง Indoor และ Outdoor ทำให้ห้องรู้สึกมีพื้นที่มากกว่าขนาดจริง
- เสร็จแล้วก็ออกมาประมาณนี้ครับ ปูนกาวที่ใช้ก็เป็นจระเข้เงินครับ แรงยึดเกาะดีเกินสเปกไปนิดหนึ่ง แต่เพราะผนังมันเก่าและสีเป็นฝุ่น ยอมใช้เกินสเปกไปเล็กน้อย ดีกว่าให้กระเบื้องมาหลุดร่อนภายหลังครับ
เสร็จแล้วเราก็มาเก็บงานพื้นครับ ของเดิมเขาปูกระเบื้องธรรมดาสีเทา ๆ ไว้ในส่วนของครัว ซึ่งมันก็เป็นไปตามวัสดุในยุคนั้นที่มีตัวเลือกเพียงน้อยนิด วัสดุอย่างนี้ก็ถือว่าอลังการมากแล้วสำหรับยุคนั้น ของใหม่ผมต้องการให้อารมณ์ออกมาเหมือนว่าเวลาเราเข้าห้องมาแล้วเราขึ้นมาอยู่บนระเบียงไม้ริมทะเลครับ ก่อนที่จะลงไปในส่วนของหาดทรายซึ่งเป็นพรม การที่พรมสีเดียวกันกับสีหาดทรายภายนอกเป็นเรื่องที่โชคดีมากครับ ทำให้ความรู้สึกมันต่อเนื่องกันจากสีทรายและภายใน ตรงจุดนี้ถือว่าโชคดีมากที่ไม่ต้องลงทุนใหม่กับพรมซึ่งก็น่าจะหลายหมื่นบาทอยู่
- ในส่วนของพื้นไม้ก็เริ่มจากการวางตงครับ
- แล้วก็เอาไม้สักหน้าหกที่เหลือ ๆ อยู่ที่บ้านมาปูลงไป ออกมาก็จะประมาณนี้ครับ เดี๋ยวพอลงยูรีเทนลงไป สีก็จะออกมาโทนเดียว ๆ กันกับท็อปครัว
- หลังจากนั้นก็เอาเศษไม้เหลือ ๆ มาทำชั้นวางของครับ จะไปซื้อชั้นทำไมอันละ 400-500 บาท ถ้าเราเอาของเหลือมา Upcycle ได้แถมได้ไม้จริงอีกต่างหาก
- เมื่องานครัวหลัก ๆ เสร็จแล้ว เราก็เริ่มมีพื้นที่โล่งมากขึ้นในการกระจายจัดวางเฟอร์ที่เราเตรียมมา แน่นอนคอนเซ็ปต์การจัดวางครั้งนี้ก็คือ Open plan living ครับ ทำให้พื้นที่ครัว กินข้าว และนั่งเล่นเชื่อมต่อเป็นส่วนเดียวกัน เวลามาเที่ยวก็จะได้สังสรรค์กันสนุกสนานเฮฮา
สังเกตพวกเฟอร์นิเจอร์ที่เราเพิ่งเอาไปซ่อมมาครับ ใครจะไปรู้ว่าพวกมันเคยเป็นขยะมาก่อน แขกไปใครมาเขาก็หาว่าโต๊ะตัวละ 50,000 บาท ตู้ใบละ 30,000 บาท เราก็ได้แต่ยิ้ม แล้วบอกว่า ทุบกระปุกหมูไปซื้อมาครับ
- แต่เดี๋ยวก่อน เท่านั้นยังไม่พอ สิ่งที่ห้องทุกห้องควรจะมีก็คือ Focal Point ครับ สิ่งที่จะดึงดูดสายตาและดึงให้คนอยากจะเดินเข้าไปค้นหา เพิ่มความน่าสนใจให้กับห้อง ซึ่งในที่นี้ที่ผมใช้ก็คือเจ้าเตาผิงครับ ผมเลือกที่จะเอาเตาผิงวางไว้ตรงเกือบสุดห้อง เพื่อให้คนที่เข้ามาอยากเดินไปดูว่ามันคืออะไร แล้วเขาจะได้มองเลยออกไปซึมซับกับวิวชายหาดทางด้านนอกครับ
- หลังจากที่จัดวางเตาผิงเข้าที่เสร็จเรียบร้อยแล้วก็จัดการลงสีครับ อันที่จริงเราจะเอากระเบื้องดินเผามาติดเลียนแบบลายอิฐจริง ๆ ก็ได้ แต่มันเสียเวลาและต้นทุนต่างกันอยู่ประมาณ 5,000 บาท ด้วยความขี้เกียจเล็กน้อย ผมจึงเลือกที่จะทาสีครับ อารมณ์ออกมาได้ใกล้เคียงกัน ไม่ได้ทำให้ห้องรู้สึกถูกลงแต่อย่างใด
- ด้านในเลือกที่จะทาสีดำกึ่งด้าน เพื่อให้รู้สึกมีมิติ แล้วเวลาซ่อนทีวีจะได้เนียน ๆ ไปด้วย
- เมื่อเสร็จเรียบร้อยดีก็ออกมาได้อารมณ์แบบนี้ครับ หน้าหนาวแถบอ่าวไทยตอนบนยังพอมีลมหนาวพัดมาให้ชื่นใจบ้าง เมื่อถึงเวลานั้นคงจะฟินน่าดูกับชาร้อน ๆ ในตอนเช้าสักแก้วบนแก้วอี้ Papasan ริมเตาผิง สำหรับตอนนี้ก็เปิดแอร์ไปก่อนครับ
- หลังจากที่ทำเตาผิงเสร็จ โซนสันทนาการของห้องคอนโดก็เกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว เพียงแต่ว่าพอนั่ง ๆ อยู่ในห้องไปสักพัก กลับรู้สึกว่า เอ๊ะ… บางทีตัวห้องมันดูขาดมิติอย่างไรก็ไม่รู้ ผนังรอบด้านมันขาวไปทั้งหมด และตรงส่วนที่แขวนรูปสีน้ำมันรูปหัวหิน ตัวรูปเองมันก็ไม่เด่นเท่าที่ควร ผมเลยงัดเทคนิคหนึ่งออกมาใช้ครับนั่นก็คือการทาสีผนังด้วยสีตระกูลเข้ม ๆ ผลของการทาสีเข้มมีสองอย่างคือ มันจะทำให้มิติของห้องตรงนั้นรู้สึกลึกขึ้น และสองมันจะช่วยขับเน้นรูปภาพหรือวัตถุที่แขวนอยู่บนผนังให้โดดเด่นขึ้นมาอีก ก็เลยตัดสินใจทาสีผนังส่วนนั้นเป็นสีน้ำเงินเข้ม Elegance Ocean ไปครับ ช่วยให้ห้องมีมิติขึ้นมาเยอะเลย เทคนิคนี้นำไปปรับใช้ได้ง่ายมากครับ
- ในส่วนของห้องนอนนั้น ก็ทำการตกแต่งผนังด้วย Fiber Cement หรือที่เรียกกันติดปากว่าไม้เทียม กรุผนังบางด้านเพื่อเพิ่ม texture ให้ห้องดูหน้าสนใจขึ้น แล้วก็ทาสี Ocean Foam ครับ เป็นสีเขียมอมฟ้าแบบอ่อน ๆ จริง ๆแล้วเรื่องสีนี้สำคัญต่ออารมณ์ของผู้อยู่นะครับ ช่วยสร้างประสบการณ์ได้เยอะเลย ถ้าใครจะทาสีบ้านผมแนะนำว่าให้คุยกับเซลส์แล้วขอดูพัดสีนะครับ ตรงนี้คนที่เก่งภาษาอังกฤษจะได้เปรียบเพราะชื่อของสีจะช่วยบอกเราได้ว่าอารมณ์ของสีนั้น ๆ เป็น อย่างไร อย่าดูเพียงแต่โบรชัวร์แบบกระดาษพับ ๆ ที่เซลส์ชอบนำเสนอว่า เป็นสีที่นิยมอะไรประมานนั้น เพราะเอาเข้าจริง ๆ สีพวกนั้นน้อยมากครับที่จะสะท้อนอารมณ์ของห้องให้คุณได้ในอย่างที่เราอยากให้เป็น
- อันนี้ห้องนอนเล็ก พร้อมเจ้าเตียงอาบแดดที่ทาสี White Wash เสร็จแล้วครับ
- รูปภาพและผ้าปูที่นอนพวก soft furnishing ก็เอามาวางเทียบ ๆ ดูว่าพอจะไปด้วยกันได้ไหม อารมณ์ของห้องนี้และห้องนอนใหญ่ก็อยากจะให้มีความ West Coast ขึ้นเล็กน้อย อยากจะให้เป็นตัวเราในสมัยอายุยี่สิบต้น ๆ หน่อย จึงเลือกใช้เฟอร์เก่า ๆ ของที่บ้านที่เป็นขาเหลาเข้ามาตกแต่งเป็นหลักครับ
- ตู้เสื้อผ้าสีไม้สักก็เอามาทาสีขาวให้มันเข้ากับทะเลแบบสบาย ๆ
- เตียงนอนขาเหลาก็มาด้วย
- เก้าอี้ Grandpa ขาเหลาก็มา แต่อันนี้ขอเล่นสีที่ขานิดหนึ่งเป็นสีเทาฟ้า เพื่อความน่าสนใจของสีโดยรวมในห้องครับ
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
คุณสมาชิกหมายเลข 1415794 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม