เรื่องควรรู้ก่อนทำสัญญาเช่าบ้าน-คอนโด ป้องกันปัญหาระหว่างเจ้าของบ้านกับผู้เช่า ควรมีเรื่องอะไรบ้างที่ต้องระบุลงไปในสัญญาเช่าบ้าน-คอนโด
การเช่าบ้าน-คอนโด กลายเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสร้างรายได้ แต่ทว่าบางครั้งเจ้าของบ้านก็ต้องเจอกับปัญหามากมายจากผู้เช่า เช่น ไม่ยอมจ่ายค่าเช่าตามกำหนด ค้างค่าน้ำ-ค่าไฟไว้ให้เจ้าของตามจ่ายทีหลัง บางคนก็ทำบ้านหรือห้องพังเละเทะจนต้องซ่อมใหม่เกือบทั้งหลัง ดังนั้น มาดูกันว่าก่อนจะทำสัญญาเช่าบ้านหรือเช่าคอนโด มีเรื่องอะไรที่เจ้าของบ้านควรรู้และระบุลงไปในสัญญาเช่าบ้าง
1. ซักถามประวัติผู้เช่า
ก่อนจะตัดสินใจว่าจะปล่อยเช่าหรือไม่นั้น เจ้าของบ้านควรซักถามข้อมูลจากผู้เช่าเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นประวัติส่วนตัว เช่น อาชีพ เงินเดือน เหตุผลในการขอเช่า จำนวนผู้อาศัย รวมถึงระยะเวลาที่ต้องการเช่า เพื่อนำมาใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นในการพิจารณาตรวจสอบและตัดสินใจว่าควรจะให้เช่าหรือไม่
2. ระบุค่าเช่าให้ชัดเจน
สิ่งสำคัญที่ต้องระบุในสัญญาเช่าให้ชัดเจนก็คือ รายละเอียดค่าเช่าที่ผู้เช่าบ้านต้องเป็นผู้รับผิดชอบ โดยแยกรายละเอียดแต่ละส่วนให้ชัดเจนว่าในแต่ละเดือนต้องจ่ายอะไรบ้าง และแต่ละรายการต้องจ่ายเท่าไหร่ ได้แก่ เงินประกันก่อนเข้าอยู่ ค่าเช่าบ้านหรือค่าเช่าห้อง ค่าส่วนกลาง อัตราการเก็บค่าน้ำ-ค่าไฟ ค่าซ่อมแซมต่าง ๆ ฯลฯ กำหนดวันและเวลาในการจ่าย รวมถึงเงื่อนไขต่าง ๆ หากผู้เช่าทำผิดเงื่อนไข หรือชำระค่าปรับเท่าไร หากจ่ายเกินวันและเวลาที่กำหนดไว้
3. กำหนดระยะการทำสัญญาเช่า
นอกจากค่าเช่าแล้ว อีกเรื่องที่ลืมไม่ได้เลยก็คือ ระยะวัน-เวลาในการเช่า โดยระบุลงไปในสัญญาเช่าว่า สัญญาแต่ละฉบับมีระยะเวลากี่เดือนหรือกี่ปี เช่น 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี หากผู้เช่าเลิกเช่าก่อนหมดสัญญาควรแจ้งล่วงหน้ากี่วัน มีการยึดเงินประกันหรือไม่ รวมถึงการต่อสัญญาเช่าว่าจะต้องทำฉบับใหม่หรือเป็นการต่อสัญญาโดยอัตโนมัติ
4. เจ้าของมีสิทธิ์ตรวจสอบ
อีกหนึ่งเรื่องที่เจ้าของบ้าน-คอนโดควรระบุลงไปให้ชัดเจนในสัญญาเช่าก็คือ ผู้ให้เช่าหรือตัวแทนของผู้ให้เช่าสามารถเข้าไปตรวจสอบบ้านได้ในระยะและเวลาอันเหมาะสมเป็นครั้งคราว เพื่อป้องกันปัญหาผู้เช่ากล่าวหาว่าโดนบุกรุก
5. ห้ามทำผิดกฎหมาย
เรื่องที่เจ้าของบ้านหลายคนอาจจะมองข้ามไปเพราะคิดว่าเป็นเรื่องที่ทราบกันอยู่แล้ว แต่ทว่าก็ควรเขียนระบุลงไปในสัญญาให้ชัดเจนว่า หากมีเหตุการณ์ผู้เช่าทำผิดกฎหมายในบ้านเช่า ผู้ให้เช่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ ทั้งสิ้น
6. ให้ผู้เช่าเซ็นยอมรับเงื่อนไข
ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการฟ้องร้องในภายหลัง ในสัญญาเช่าที่เกี่ยวกับเงื่อนไขการชำระเงิน กฎระเบียบหรือข้อบังคับต่าง ๆ ในการพักอาศัย ควรให้ผู้เช่าลงชื่อหรือเซ็นกำกับไว้ทุกหน้า เพื่อใช้เป็นหลักฐานว่าผู้เช่าได้อ่านรายละเอียดและยอมรับเงื่อนไขข้อกำหนดที่เจ้าของบ้านระบุไว้แล้ว
7. ขอเอกสารผู้เช่าให้ครบ
นอกจากรายละเอียดการเช่าบ้าน-คอนโดที่ต้องระบุในสัญญาเช่าให้ชัดเจนแล้ว ควรขอเอกสารเกี่ยวกับผู้เช่ามาเก็บเอาไว้เป็นหลักฐานด้วย เช่น สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน ฯลฯ พร้อมลายเซ็นผู้เช่ากำกับทุกใบ เพื่อใช้ในการตรวจสอบประวัติและเป็นหลักฐานฟ้องร้องหากมีการทำผิดสัญญาเช่า
8. ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐาน
อีกหนึ่งเรื่องที่ลืมไม่ได้เลยก็คือ เจ้าของควรถ่ายภาพมุมต่าง ๆ ในบ้านหรือห้องก่อนที่ผู้เช่าจะเข้ามาพักอาศัยด้วย เพื่อใช้ตรวจสอบสภาพสิ่งของและสภาพภายในเมื่อผู้เช่าย้ายออกไปว่ามีอะไรชำรุดเสียหายและผู้เช่าต้องรับผิดชอบอย่างไร
ทั้งนี้ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในภายหลัง เจ้าของบ้านหรือผู้ให้เช่าควรระบุรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับการเช่า ทั้งค่าใช้จ่าย เงื่อนไข พร้อมข้อบังคับต่าง ๆ ให้ชัดเจน และเก็บเอกสารที่เกี่ยวกับผู้เช่าเอาไว้เป็นหลักฐานให้ครบถ้วนด้วยนะ
ขอบคุณข้อมูลจาก : เฟซบุ๊ก กองปราบปราม และ thailaws