แนะนำสายพันธุ์ และวิธีปลูกมะละกอ ผลไม้ไทยกินก็อร่อย ปลูกขายก็ทำกำไรงาม อยากปลูกเองต้องทำอย่างไรบ้าง มาดูกัน
มะละกอ ผลไม้ของไทยที่คุ้นตาคุ้นปากเราทุกคน กินแบบสุกเป็นผลไม้แช่เย็น หรือจะปั่นทำเป็นเครื่องดื่มสมูทตี้ ก็ชื่นใจดับร้อน หรือจะกินแบบดิบก็ทำได้หลายเมนู ที่เห็นบ่อย ๆ ก็ส้มตำจานแซ่บที่ถูกปากถูกใจใครหลายคน หลายบ้าน นิยมปลูกมะละกอไว้เก็บกิน หรือถ้าพื้นที่เยอะหน่อยก็อาจจะปลูกไว้ขายเลยก็มี ถ้าใครอยากเริ่มปลูกมะละกอ เรามีคำแนะนำต่าง ๆ เกี่ยวกับการปลูกมะละกอมาฝากกัน
พันธุ์ของมะลอกอที่นิยมปลูกกันนั้น มีอยู่มากมาย โดยลักษณะของต้นและผลของมะละกอแต่ละพันธุ์อาจจะคล้ายคลึงหรือแตกต่างกันไปบ้าง ดังนี้
- มะละกอแขกดำ : สูง 2-4 เมตร ใบหนา ดอกติดเร็ว ให้ผลไว ผลหนักประมาณ 1.7 กิโลกรัม เมื่อสุกเนื้อจะมีสีแดงเข้มและหวาน
- มะละกอท่าพระ : เป็นพันธุ์ผสมระหว่างพันธุ์แขกดำกับพันธุ์ฟอริดา โทเลอแรนต์ แข็งแรง ทนโรคใบด่างจุดวงแหวน ได้ดี ติดผลเร็ว ผลหนักประมาณ 1.5 กิโลกรัม ผลดิบเนื้อจะกรอบ และผลสุกเนื้อมีสีเหลืองอมส้ม รสชาติหวานหอม
- มะละกอโกโก้ : ต้นเตี้ย ใบยาวมีหลายสีทั้งสีน้ำตาล สีม่วงเข้ม หรือสีเขียวอ่อน มีดอกตัวผู้มาก แต่มีดอกตัวเมียน้อย เนื้อสีแดงอมชมพู รสชาติหวาน
- มะละกอสายน้ำผึ้ง : ต้นเตี้ย แต่ก้านใบยาวก ผลเรียวแต่ปลายใหญ่ มีร่องระหว่างพูเป็นเหลี่ยมชัดเจน เนื้อสีส้ม รสชาติหวาน นิยมกินแบบสุก
- มะละกอจำปาดะ : ต้นใหญ่ แข็งแรง ใบและก้านสีเขียวอ่อน ติดดอกออกผลช้า ให้ผลใหญ่และยาว ผลสุกเนื้อสีเหลือง เนื้อไม่แน่น
- มะละกอเรดเลดี้ : ต้นเตี้ย ให้ผลผลิตเร็ว เนื้อผลสุกแข็ง สีแดงอมชมพู รสหวาน ทนทานระหว่างการขนส่ง
- มะละกอสีทอง : ต้นกำเนิดมาจากฮาวาย เมล็ดเยอะ ผิวของผลมีสีเหลืองทอง เนื้อสีเหลือง รสหวาน
ขั้นตอนการเพาะต้นมะละกอ
มะละกอ นิยมปลูกด้วยวิธีการเพาะต้นกล้าก่อนแล้วค่อยย้ายลงแปลงปลูก ต้นกล้างอกใหม่ดูแลเอาใจใส่มาก ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงตามไปด้วย เพาะต้นกล้ามะละกอได้ดังนี้
- เตรียมดิน โดยใช้ดิน 3 ส่วน ปุ๋ยคอก 1 ส่วน และขี้เถ้าหรืออินทรีย์วัตถุ 1 ส่วน ใส่ถุงปลูกซึ่งเจาะรูด้านล่างให้ระบายน้ำ
- ฝังเมล็ดมะละกอลงในดินถุงละ 3-4 เม็ดให้ลึกประมาณ 0.5 ซม. แล้วตั้งถุงเรียงไว้กลางแจ้ง
- รดน้ำให้ชุ่มวันละ 2 ครั้งเช้า-เย็น
ประมาณ 10-14 วัน ต้นกล้าจะเริ่มมีใบ 2-3 ใบ ให้เลือกต้นที่แข็งแรงเอาไว้ต้นเดียวและเมื่อต้นกล้าครบ 45-60 วัน ให้ย้ายไปลงแปลงปลูกได้
การเพาะเมล็ดลงแปลงเพาะ
- เตรียมแปลงเพาะกว้าง 1x3-5 เมตร
- จากนั้นเตรียมดินร่วนผสมกับปุ๋ยคอก แล้วยกให้เป็นแปลงสูงจากระดับดินเดิมประมาณ 15-20 ซม.
- ใช้ไม้ขีดทำร่องแถวลึกประมาณ 1 ซม. ห่างกันประมาณ 25 ซม.
- โรยเมล็ดมะละกอลงในร่องแถว รดน้ำให้ชุ่มทุกวันเช้า-เย็น
- เมื่อต้นกล้าอายุประมาณ 20-25 วัน ให้ย้ายต้นกล้าจากแปลงเพาะมาลงถุงพลาสติกขนาด 5x8 นิ้ว ถุงละ 1 ต้น ตั้งเรียงไว้ในที่ร่มที่มีแสงแดดรำไร
การเตรียมพื้นที่ปลูกมะละกอ
มะละกอ ชอบดินร่วน ระบายน้ำได้ดี ไม่ชอบน้ำขัง ให้เว้นระยะห่างระหว่างหลุมปลูกอย่างน้อย 2.5x3 เมตร เพราะรากลึกและกว้าง ควรมีแนวไม้กันลม ปลูกให้อยู่ใกล้ทางขนส่งหรือเก็บเกี่ยวง่าย เพราะผิวของมะละกอบางมาก อาจจะเกิดการช้ำระหว่างการเก็บเกี่ยวและขนส่งได้
และหลังจากนั้นให้ไถพื้นที่ กำจัดวัชพืช และย่อยดินให้ละเอียด ยกหน้าดินทำเป็นแปลงขนาดกว้าง 2 ถึง 2.5 เมตร หาไม้ไผ่ยาวประมาณ 1 เมตร ปักทำตำแหน่งปลูกไว้ และขุดหลุมปลูกลึกประมาณ 50 ซม. โดยเว้นระยะห่างระหว่างหลุมปลูกประมาณ 2 เมตร และรองก้นหลุมปลูกด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก
วิธีการปลูกมะละกอ
นำต้นกล้ามะละกอที่แข็งแรงพร้อมปลูกลงแปลงมาวางตามหลุมต่าง ๆ ที่เตรียมไว้
- กรีดถุงพลาสติกออก วางต้นกล้าให้ลงตำแหน่งตรงกลางหลุมปลูก กลบดินให้แน่น โดยเฉพาะรอบ ๆ โคนต้น เพื่อให้รากจับดินใหม่ได้เร็ว ต้นจะตรงกันทุกแถว
- ปิดทับหน้าดินด้วยฟางหรือแกลบ แล้วรดน้ำจนชุ่ม เพราะในช่วงที่ปลูกใหม่ ๆ ควรให้น้ำกับต้นกล้ามะละกอจนตั้งตัวได้ ประมาณ 2-3 ครั้งต่อวัน
- นอกจากนี้ช่วงที่ต้นมะละกอติดดอกออกผลก็เป็นช่วงที่ต้องให้น้ำมากอย่างสม่ำเสมอด้วยเช่นกัน
การดูแลรักษาต้นมะละกอ
- การให้ปุ๋ย : โดยทั่วไปแล้ว จะให้ปุ๋ยต้นมะละกอเมื่อติดดออกออกผลแล้ว โดยให้ปุ๋ยสูตร 14-14-21 ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะต่อต้น หรือจะให้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักอย่างสม่ำเสมอก็ได้
- การรดน้ำ : มะละกอเป็นพืชชอบน้ำ แต่ไม่ชอบน้ำขัง จึงควรรดน้ำวันละ 2 ครั้งเช้า-เย็น ก็เพียงพอแล้ว ไม่ควรให้น้ำมากจนท่วมขัง เพราะจะเกิดอาการบวมน้ำและเน่าตายได้
- ควรกำจัดวัชพืชสม่ำเสมอ : ไม่ให้มารบกวนต้นกล้าที่เพิ่งลงหลุมปลูก
- การทำไม้หลัก : เพื่อประคองต้นกล้าและทำให้แถวปลูกเป็นแถวตรง มีระเบียบ และเพื่อค้ำยันพยุงลำต้นไม่ให้ล้ม
การเก็บเกี่ยวผลมะละกอ
ต้นมะละกอที่ปลูกไปประมาณ 5-6 เดือน ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลดิบได้ หากต้องการเก็บผลสุก ให้รอประมาณ 8-10 เดือน จึงจะเก็บเกี่ยวได้ โดยเลือกผลที่กำลังเริ่มสุก ผิวเริ่มมีแต้มสีส้มปนเขียว และผลยังไม่นิ่มมาก
ประโยชน์ของมะละกอ
มะละกอถือว่ามีประโยชน์ทั้งการกินสด การทำอาหาร และสรรพคุณทางยา นำมาใช้ได้หลายส่วนมาก ดังนี้
- ผล : ถ้าเป็นผลดิบจะนิยมกินเพื่อขับลม ขับพยาธิ แก้ปัสสาวะขัด และนำมาอาหารได้หลากหลายเมนู เช่น ส้มตำ หรือนำไปทำเป็นมะละกอเชื่อม แช่อิ่ม หรือดองเค็ม ส่วนผลสุก จะมีสารอาหารและวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น ไฟเบอร์ แคลเซียม โพแทสเซียม เบต้าแคโรทีน เหล็ก วิตามินเอ วิตามินซี นิยมนำไปทำน้ำผลไม้ แยม ซอส ผลไม้กระป๋อง หรือขนมขบเคี้ยว
- ยางมะละกอ : มีเอนไซม์ย่อยโปรตีนหลายชนิด มีการนำยางของมะละกอไปใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ผลิตเบียร์ ผลิตเนื้อสัตว์หรือน้ำปลา ใช้ย่อยโปรตีนและทำให้สารละลายใสเมื่อเก็บไว้นาน ๆ ในอุตสาหกรรมยาหรือทางการแพทย์ใช้ผลิตยารักษาแผลติดเชื้อและช่วยฆ่าพยาธิในลำไส้ได้
- เมล็ดมะละกอ : นำไปตากแห้งผสมกับเมล็ดฟักทองแล้วผสมน้ำ นำไปพอกแผลหนองหรือข้อเพื่อลดอาการปวดได้
- เปลือกมะละกอ : ใช้ทำเป็นอาหารสัตว์หรือสีผสมอาหาร
- ยอดต้นอ่อนและใบอ่อน : สามารถนำมาปรุงอาหารได้
- ราก : นำมาต้มดื่ม มีสรรพคุณแก้หนองใน ขับปัสสาวะ และบำรุงน้ำนม
การปลูกมะละกอ ไม่ใช่เรื่องยากเลย เพียงแค่ดูแลเอาใจใส่มากหน่อย เพียงเท่านี้ ก็จะได้มะละกอลูกโต ๆ สวย ๆ ไว้กิน ไว้ขายกันแล้วค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, puechkasetและ สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์