ครบจบทุกเรื่องของเครื่องชงกาแฟสด ทั้งประเภท ประโยชน์ วิธีการเลือก และ 10 เครื่องชงกาแฟสด ที่คอกาแฟทั้งหลายควรมีไว้ครอบครอง
เครื่องชงกาแฟสด ตัวช่วยสำคัญตอบโจทย์ความต้องการของคนที่ชอบดื่ม กาแฟ หอม ๆ อร่อย เพียงแค่มีติดบ้านไว้ก็สามารถชงกาแฟแก้วอร่อยกินเอง เหมือนกับได้นั่งกินในคาเฟ่ชิล ๆ เลย ทุกวันนี้เครื่องชงกาแฟสดมีหลากยี่ห้อ หลายแบบให้เลือกสรรตามความชอบและการใช้งาน แถมราคาก็มีตั้งแต่หลักพันไต่ขึ้นไปจนถึงหลักหมื่น อยากจะมีเครื่องชงกาแฟสดติดบ้านไว้สักเครื่อง แต่ไม่รู้ว่าจะเลือกซื้อยังไงดี วันนี้กระปุกดอทคอมได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมดมาฝากแล้ว
เครื่องชงกาแฟสดที่เห็นทั่วไปตามร้านกาแฟส่วนใหญ่ เรียกว่า เครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่ (Espresso Coffee Maker หรือ Espresso Machines) แตกต่างจากเครื่องชงกาแฟทั่วไปตรงที่เครื่องชงกาแฟประเภทนี้อาศัยใช้แรงดันไอน้ำในหม้อต้มสกัดชอตกาแฟออกมา แล้วค่อยนำไปชงกาแฟเมนูอื่น ๆ เช่น มอคค่า ลาเต้ คาปูชิโน่ ได้ตามใจชอบ รวมถึงสามารถปรับเปลี่ยนรสชาติและความเข้มข้นได้เองอีกด้วย
ข้อดี
-
เลือกเมล็ดกาแฟสายพันธุ์ที่ชอบมาชงได้เอง
-
ชงกาแฟได้หลายเมนูและเลือกระดับความเข้มข้นได้
-
สามารถคิดสูตรกาแฟได้เอง
-
บางรุ่นมีด้ามหรือก้านชงทำฟองนมได้
-
คุ้มค่ากับการใช้ในระยะยาว
ข้อเสีย
-
ราคาสูงเมื่อเทียบกับเครื่องชงกาแฟประเภทอื่น
-
ขั้นตอนการชงซับซ้อน และใช้อุปกรณ์เยอะ
-
ต้องมีความรู้และเทคนิคในการชงกาแฟ เช่น ปริมาณน้ำ ปริมาณกาแฟ ความละเอียดของกาแฟบด และน้ำหนักมือในการบดอัดลงก้านชง
-
บางรุ่นต้องวอร์มเครื่องก่อนใช้
การจะหาซื้อเครื่องชงกาแฟสดสักเครื่อง ควรพิจารณาให้เหมาะสมกับการใช้งาน โดยดูจากหลักการทำงานและความแตกต่างของกลไกในตัวเครื่อง ดังนี้
1. เลือกตามงบประมาณ
ราคาของเครื่องชงกาแฟส่วนใหญ่ในท้องตลาดจะอยู่ตั้งแต่ 2,000 บาทขึ้นไป จนไปถึง 40,000-50,000 บาท ขึ้นอยู่กับความหลากหลายของฟังก์ชันในตัวเครื่อง ยิ่งเยอะก็ยิ่งสะดวก แต่ราคาก็สูงขึ้นตามไปด้วย
2. เลือกตามความถี่ในการดื่มกาแฟ
ถ้าความต้องการดื่มกาแฟต่อวันไม่มากหรือถี่เท่าไรนัก อาจจะดื่มแค่วันละแก้วในตอนเช้า ก็สามารถเลือกเครื่องชงที่มีหม้อต้มหรือบอยเลอร์ (Boiler) ขนาดเล็ก หรือหม้อต้มแบบ Single Boiler ก็เพียงพอแล้ว เพราะตัวเครื่องขนาดกะทัดรัด ชงกาแฟได้ครั้งละ 1-2 แก้ว ต้องมีเวลาให้เครื่องพักเพื่อทำความร้อน และราคาถูกกว่ารุ่นอื่น ๆ
แต่ถ้าเป็นคนที่ชอบดื่มกาแฟบ่อย ๆ มีช่วงเวลาคอฟฟี่เบรกยามบ่าย หรือมีมีตติ้งเล็ก ๆ กับเพื่อนฝูง ก็สามารถเลือกเป็นเครื่องชงที่มีหม้อต้มแบบ Double Boiler ที่มีขนาดใหญ่กว่า ควบคุมอุณหภูมิได้คงที่ และสามารถชงได้ต่อเนื่องมากกว่า
3. เลือกตามระบบการทำงานของตัวเครื่อง
สามารถแบ่งตามระบบการทำงานของตัวเครื่องชงกาแฟสดได้ ดังนี้
-
ระบบอัตโนมัติ (Automatic) สำหรับมือใหม่หัดชงกาแฟ ควรเลือกเครื่องที่มีระบบนี้ เพราะใช้งานง่าย กดเพียงครั้งเดียวก็สามารถชงเครื่องดื่มตามที่ต้องการได้ ไม่ต้องบดกาแฟหรือสตรีมนมด้วยตัวเอง ได้ความอร่อยในสูตรที่เป็นมาตรฐาน
-
ระบบกึ่งอัตโนมัติ (Semi-Automatic) คนที่มีเครื่องชงระบบแบบนี้จะต้องมีความรู้เล็กน้อยในการบดกาแฟและสตรีมนมด้วยตัวเอง ความอร่อยหรือรสชาติของกาแฟอาจจะเปลี่ยนแปลงไปจากมาตรฐานบ้างเล็กน้อย แต่ถ้าฝึกฝนไปเรื่อย ๆ ก็จะสามารถสร้างสรรค์เมนูกาแฟชั้นเยี่ยมได้
- ระบบแมนวล (Manual) สำหรับคนที่มีความรู้และประสบการณ์ในการชงกาแฟมาจนเชี่ยวชาญแล้ว เพราะเครื่องระบบแบบนี้ต้องทำทุกอย่างเอง ตั้งแต่ดูระดับปริมาณของน้ำ คั่วบดเมล็ดกาแฟเอง ควบคุมแรงอัดในการกดกาแฟเอง เพื่อให้ได้กาแฟรสเลิศที่มีคุณภาพที่สุดนั่นเอง
4. เลือกตามระบบควบคุมอุณหภูมิ
ระบบควบคุมอุณหภูมิภายในเครื่องชงกาแฟสด มีให้เลือกทั้งระบบสวิตช์แรงดัน ที่เป็นแบบอนาล็อก ต้องปรับและตั้งค่าด้วยตัวเอง และระบบควบคุมอุณหภูมิแบบดิจิทัล ควบคุมการทำงานของเครื่องทำความร้อนเพื่อรักษาอุณหภูมิที่ตั้งไว้ได้อย่างแม่นยำ และช่วยประหยัดไฟได้อีกด้วย
5. เลือกตามออปชั่นเสริมอื่น ๆ
-
ปั๊ม จะทำหน้าที่ดันแรงดันไอน้ำในระหว่างการสกัดกาแฟ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดเสียงดัง สำหรับเครื่องชงกาแฟที่มีปั๊มแบบสั่นสะเทือนก็อาจจะส่งเสียงรบกวนกว่าเครื่องชงที่มีปั๊มแบบหมุนเวียน
-
ฉนวนกันความร้อนของหม้อต้ม ถ้าเครื่องชงกาแฟรุ่นไหนที่มีออปชั่นตัวนี้ก็จะช่วยลดการใช้ไฟฟ้า และได้อุณหภูมิที่คงที่ขึ้น
-
การเชื่อมต่อน้ำ เป็นฟังก์ชันการทำงานที่อำนวยความสะดวกสบายอย่างมาก เพราะเครื่องจะเชื่อมต่อท่อน้ำกรองและท่อระบายน้ำเอาไว้แล้ว จึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับถังบำบัดน้ำเสียหรือปัญหาน้ำในตัวเครื่องหมด
-
ก้านทำฟองนม เครื่องชงกาแฟที่มีตัวแลกเปลี่ยนความร้อนและมีหม้อต้มแบบ Double จะทำให้ตีฟองนมได้หนานุ่มและเร็วขึ้น อีกทั้งยังสะดวกกว่าเครื่องชงที่มีหม้อต้มแบบ Single ด้วย
- เครื่องบดเมล็ดกาแฟ ในการสกัดกาแฟแบบเอสเพรสโซ่นั้น จำเป็นต้องใช้เมล็ดกาแฟที่คั่วและบดให้ละเอียดที่สุด เครื่องชงกาแฟบางรุ่นอาจจะไม่มีระบบบดเมล็ดกาแฟ ทำให้ต้องเอามาบดเอง และอาจจะไม่ได้ความละเอียดเท่าที่ควร ดังนั้นเพื่อให้ได้รสชาติกาแฟที่ยอดเยี่ยม ควรเลือกเครื่องชงที่มีระบบบดเมล็ดกาแฟในตัว
นำผงกาแฟคั่วบดละเอียดและตัวกรองใส่ในด้ามชง กดให้แน่น ใส่ก้านชงไปที่ตัวเครื่อง หมุนให้เข้าที่ กดปุ่มให้เครื่องทำงาน ภายในตัวเครื่องจะเริ่มต้มน้ำให้เดือดจนเกิดแรงดันประมาณ 6-9 บาร์ เมื่อได้ที่แล้วเกิดเป็นไอน้ำซึ่งจะถูกส่งไปยังตัวกรองและผงกาแฟ จนกลายเป็นน้ำกาแฟเข้มข้นภายใน 20-60 วินาทีนั่นเอง
หากทำได้อย่างถูกวิธี จะช่วยยืดอายุการใช้งานและช่วยคงรสชาติของกาแฟเอาไว้ด้วย ซึ่งวิธีการมีดังนี้
1. หัวกรุ๊ป
ปล่อยน้ำออกให้หมดเพื่อล้างคราบสกปรกที่ติดค้างอยู่ภายใน และใช้แปรงขัดบริเวณหัวกรุ๊ปให้สะอาด
2. ท่อระบายแรงดัน
ทำได้ด้วยการเปลี่ยนก้านชงกาแฟให้เป็นรูตัน แล้วเปิดเครื่องทำงานประมาณ 5-10 วินาที ทำซ้ำอีก 4-5 ครั้ง จากนั้นถอดก้านชงออกมา แล้วกดปุ่มไล่น้ำอีกครั้ง
3. ก้านสตรีมนม
ปิดเครื่องและปล่อยไอน้ำออกให้หมด นำไปแช่ในน้ำร้อนประมาณ 1 นาที จากนั้นใช้ผ้าสะอาดเช็ดให้แห้ง
4. ด้ามชงกาแฟ
ทำความสะอาดด้วยน้ำยาล้างจาน และใช้ผ้าสะอาดเช็ดให้แห้ง
5. ถาดรองน้ำ
ถอดออกมาล้างด้วยน้ำยาล้างจาน นำไปแช่ในน้ำอุ่นสักพัก ก่อนใช้ผ้าสะอาดเช็ดให้แห้ง
6. ตัวเครื่อง
ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่นบิดหมาด เช็ดรอบตัวเครื่อง และใช้ผ้าแห้งเช็ดอีกครั้ง
1. เครื่องชงกาแฟสด Donlim รุ่น KF-6001
ภาพจาก intertoshop
เครื่องชงกาแฟสดแรงดันสูง ไอน้ำสามารถซึมผ่านผงกาแฟคั่วบดจนได้ออกมาเป็นกาแฟรสชาติเข้มข้น และฟองครีมหนานุ่มภายในเวลาไม่นาน ตัวเครื่องทำจากสเตนเลสคุณภาพดี และพลาสติก PP เนื้อหนา สามารถถอดออกมาทำความสะอาดได้ง่าย น้ำหนักเบา มีความปลอดภัย 3 ชั้น ทั้งระบบควบคุมอุณหภูมิ ระบบควบคุมแรงดัน และระบบตัดไฟ
- กำลังไฟ 850 วัตต์
- แรงดันน้ำ 20 บาร์
- ความจุถังน้ำ 1.5 ลิตร
- ราคาประมาณ 3,289 บาท
2. เครื่องชงกาแฟสด Minimex รุ่น MBL1
ภาพจาก minimex
เครื่องชงกาแฟระบบหม้อต้ม ช่วยให้ได้รสชาติที่หอมกรุ่น มีโปรแกรมเป่าฟองนมสำหรับทำคาปูชิโน่ได้ด้วย ดีไซน์สวยสไตล์โมเดิร์นเรโทร มีให้เลือกถึง 6 สี คือ สีดำ สีครีม สีชมพู สีฟ้าพาสเทล สีเหลือง และสีแดง จะมีไว้ชงกาแฟรสเลิศก็ยอด
- กำลังไฟ 1,100 วัตต์
- แรงดันน้ำ 15 บาร์
- ความจุถังน้ำ 1.2 ลิตร
- ราคาประมาณ 4,950 บาท
3. เครื่องชงกาแฟสด Duchess รุ่น CM3000B
ภาพจาก duchess
เครื่องชงกาแฟใช้ระบบ Thermoblock ระบบควบคุมอุณหภูมิให้คงที่ตั้งแต่แก้วแรกถึงแก้วสุดท้าย ชงได้ทั้งกาแฟ ช็อกโกแลต และเครื่องดื่มร้อนอื่น ๆ มีปุ่มหมุนปรับเลือกการใช้งาน ระบบระบายแรงดันอัตโนมัติใช้งานง่าย กระจายความร้อนได้เร็วและทั่วถึง มีไฟแสดงสถานะ ตัวเครื่องแข็งแรงทนทาน ดีไซน์เรียบหรู
- กำลังไฟ 1,050 วัตต์
- แรงดันน้ำ 15 บาร์
- ความจุถังน้ำ 1.5 ลิตร
- ราคาประมาณ 5,990 บาท
4. เครื่องชงกาแฟ Gaggia รุ่น Viva Deluxe
ภาพจาก gaggiathailand
เครื่องชงกาแฟดีไซน์สวยหรู ใช้งานง่าย ทำได้ดีทั้งการชงเอสเพรสโซ่เข้มข้น และตีฟองนมหนานุ่มละเอียดสำหรับคาปูชิโน่ มีฟังก์ชันการทำงานที่ครบถ้วน และระบบ Shut-off อัตโนมัติที่ช่วยให้ประหยัดพลังงาน นอกจากนี้ยังใช้ก้านอัดที่สร้างแรงดันได้เหมาะสมโดยไม่ต้องกดกาแฟ ใช้ได้ทั้งกับกาแฟคั่วบดและแบบแคปซูล
- กำลังไฟ 1,025 วัตต์
- แรงดันน้ำ 15 บาร์
- ความจุถังน้ำ 1 ลิตร
- ราคาประมาณ 6,990 บาท
5. เครื่องชงกาแฟ Ariete รุ่น 1389
ภาพจาก central
ด้วยดีไซน์สวยหรู สีสันสวยงาม และฟังก์ชันการทำงานที่สะดวก มีอุปกรณ์ทำคาปูชิโน่ เกจวัดแรงดัน และก้านชงกาแฟพร้อมที่กรองแบบ One Shot และ Two Shot รวมถึงกาแฟแบบแคปซูลด้วย นอกจากนี้ยังมีราวกั้นด้านบนเครื่องสำหรับวางถ้วยกาแฟได้
- กำลังไฟ 850 วัตต์
- แรงดันน้ำ 15 บาร์
- ความจุถังน้ำ 0.9 ลิตร
- ราคาประมาณ 8,990 บาท
6. เครื่องชงกาแฟสด Lelit รุ่น PL041QE
ภาพจาก nlcoffee
เครื่องชงกาแฟจากประเทศอิตาลี ขนาดเล็กกะทัดรัด เป็นรุ่น 1 หม้อต้ม ทำน้ำร้อนได้โดยแยกจากหัวชงกาแฟ สามารถทำไอน้ำสตรีมฟองนมได้ ถาดน้ำทิ้งใหญ่ มีไฟแสดงสถานะความร้อนพร้อมใช้งาน โครงสร้างตัวเครื่องเป็นสเตนเลสสตีล หรูหราและทนทาน
- กำลังไฟ 1,050 วัตต์
- แรงดันน้ำ 15 บาร์
- ความจุถังน้ำ 2.7 ลิตร
- ราคาประมาณ 21,000 บาท
7. เครื่องชงกาแฟสด Smeg รุ่น ECF01RDEU
ภาพจาก smeg
เครื่องชงกาแฟระบบ Thermoblock คุมความร้อนได้ทั่วถึง มาพร้อมกับฟังก์ชันการทำงานที่หลากหลาย อาทิ การจ่ายน้ำร้อนสำหรับชงชา ปรับความกระด้างของน้ำได้ มีหัวจ่ายน้ำร้อนและไอน้ำร้อนสำหรับตีฟองนม สามารถเลือกจำนวนชอตกาแฟได้ ดีไซน์สไตล์เรโทรสวยงาม นอกจากนี้ด้านบนตัวเครื่องมี Cup Warmer Area สำหรับอุ่นแก้วกาแฟให้ร้อนก่อนชงด้วย
- กำลังไฟ 1,350 วัตต์
- แรงดันน้ำ 15 บาร์
- ความจุถังน้ำ 1 ลิตร
- ราคาประมาณ 21,500 บาท
8. เครื่องชงกาแฟสด Delonghi รุ่น EC820.B
ภาพจาก delonghi
ตัวเครื่องออกแบบมาให้ใช้ได้ทั้งกาแฟคั่วบดและแบบแคปซูล ด้วยระบบ Thermoblock ที่ทำความร้อนได้อย่างทั่วถึงและรวดเร็ว ทำให้ตัวเครื่องพร้อมทำงานได้ใน 40 วินาที และระบบหล่อน้ำด้วยตัวเอง เพื่อให้อุปกรณ์พร้อมใช้งานตลอดเวลา
- กำลังไฟ 1,450 วัตต์
- แรงดันน้ำ 15 บาร์
- ความจุถังน้ำ 1 ลิตร
- ราคาประมาณ 12,900 บาท
9. เครื่องชงกาแฟ La Pavoni รุ่น Puccino Dose
ภาพจาก nlcoffee
แบรนด์เครื่องชงกาแฟจากประเทศอิตาลี รองรับการตั้งน้ำอัตโนมัติ 2 ระดับ ทั้ง Single และ Double มีไฟแสดงสถานะความร้อน และเกจเข็มแสดงคุณภาพการสกัดน้ำกาแฟ ตัวเครื่องเป็นพลาสติกและหุ้มด้วยสเตนเลสสตีลบางส่วน ทำให้มีน้ำหนักเบา นอกจากนี้ยังมีชุดทำคาปูชิโน่สำหรับมือใหม่หัดตีฟองนมด้วย
- กำลังไฟ 1,100 วัตต์
- แรงดันน้ำ 5 บาร์
- ความจุถังน้ำ 1.2 ลิตร
- ราคาประมาณ 23,500 บาท
10. เครื่องชงกาแฟ Ascaso รุ่น Dream
ภาพจาก nlcoffee
เครื่องชงกาแฟสัญชาติสเปน ใช้ระบบ Thermoblock คุมความร้อนได้คงที่ ทำให้ชงกาแฟได้ต่อเนื่อง ต้มน้ำได้เร็ว มีเข็มแสดงความร้อนของหม้อต้มเป็นองศาเซลเซียส ดีไซน์สวยงาม และมีสีสันให้เลือกหลากหลาย เช่น แดง เขียว ชมพู ม่วง น้ำเงิน
- กำลังไฟ 900 วัตต์
- แรงดันน้ำ 16 บาร์
- ความจุถังน้ำ 1.3 ลิตร
- ราคาประมาณ 26,000 บาท
การมีเครื่องชงกาแฟสดไว้ที่บ้านสักเครื่อง จะทำให้เพื่อน ๆ ได้ดื่มกาแฟรสชาติเข้มข้น กลิ่นหอมละมุน ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า พร้อมเริ่มต้นวันใหม่อย่างสดใส แถมประหยัดเงินอีกด้วยค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก coffeeaffection, goodhousekeeping, coffeedesk และ clivecoffee