ต้นไม้ริมรั้ว ที่นิยมปลูกไว้ในบ้าน แบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ได้แก่ ปลูกให้ร่มเงา ปลูกเอาผล และปลูกเพื่อความสวยงาม
ก่อนอื่นขอจำแนกต้นไม้ริมรั้วแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ได้แก่ ปลูกให้ร่มเงา, ปลูกเอาผล, ปลูกเพื่อความสวยงาม ซึ่งแต่ละประเภทนั้น ก็จะมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความชอบของเพื่อน ๆ แล้วล่ะค่ะ ว่าอยากให้ริมรั้วของเรานั้นมีต้นไม้อะไร
1. ปลูกให้ร่มเงา
ต้นไม้ริมรั้วที่ปลูกไว้เพื่อให้ร่มเงา ลักษณะจะเป็นต้นไม้ใหญ่ มีใบและพุ่มหนา และเป็นไม้ไม่ผลัดใบ ซึ่งจะทำให้บ้านของเราได้ร่มเงาตลอดทั้งปี อีกทั้งกิ่งก้านยังแข็งแรงไม่หักเปราะง่าย ใช้ปลูกในรั้ว ริมรั้ว หรือนอกรั้ว ก็ตามแต่ความชอบ แต่ทั้งนี้ ก็ไม่ควรปลูกชิดรั้วมากจนเกินไปนะคะ ส่วนทิศที่ควรปลูกก็คือ ทิศตะวันตก เพราะจะช่วยคอยบังแดด หากปลูกในทิศใต้ก็จะช่วยบังลมได้เป็นอย่างดีค่ะ สำหรับต้นไม้ริมรั้วที่นิยมปลูกให้ร่มเงา มีตัวอย่างดังนี้
ไทรเกาหลี
ลักษณะทั่วไป : เป็นต้นไม้ที่นิยมปลูกริมรั้วเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะปลูกเอาไว้ทำเป็นแนวรั้ว หรือปลูกริมกำแพงร่วมกับพืชดอกชนิดอื่น มีลักษณะไม้พุ่มทรงสูง และทรงของพุ่มจะค่อนข้างแน่น ตัวพุ่มประกอบไปด้วยใบสีเขียวสดที่เรียงตัวซ้อนกันอยู่เป็นชั้น ๆ เมื่อโตเต็มที่ไทรเกาหลีจะมีขนาดความสูงได้ประมาณ 5-6 เมตร ส่วนตัวใบของต้นไทรเกาหลีนั้นจะมีสีเขียวเข้มจัดรูปทรงค่อนข้างเรียว ใบมัน และมียางสีขาว มีใบดกตลอดทั้งปี ส่วนของลำต้นด้านบนจะเห็นไม่ชัดเนื่องจากใบที่หนาแน่นปกคลุมอยู่มาก โดยตัวลำต้นส่วนล่างที่มองเห็นได้จะมีสีเทาปนน้ำตาล ตามกิ่งจะมีรากย้อยลงมาซึ่งเป็นลักษณะแบบเดียวกับต้นไทรชนิดอื่นด้วย ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของต้นไทรเกาหลีคือแทบจะไม่มีการผลัดใบ ทำให้ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการจัดการกับปัญหาเศษใบไม้ร่วง
การดูแล : ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง สามารถเติบโตในดินธรรมดาได้ดี และสามารถขยายพันธุ์ได้โดยการเสียบยอดหรือเพาะเมล็ด
ลักษณะทั่วไป : เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นตรง กลม เป็นข้อถี่ มีความสูงประมาณ ๔-๑๐ เมตร ไม่มีกิ่งก้านสาขา ผิวเปลือกลำต้นมีสีน้ำตาล ใบเป็นใบเดี่ยว แตกออกจากลำต้นส่วนยอด เรียงซ้อนกันเวียนรอบลำต้นเป็นรูปวงกลม ส่วนใบมีลักษณะเป็นใบเรียว ยาว ปลายใบแหลม ออกดอกเป็นช่อตรงส่วนยอดของลำต้น
นอกจากนี้ ต้นวาสนายังเป็นต้นไม้มงคลตามความเชื่อ หากใครปลูกต้นวาสนาไว้ในบ้าน ก็จะพบเจอแต่สิ่งดี นอกจากต้นวาสนาจะมีความหมายดี ๆ แล้ว จุดเด่นของต้นไม้นี้ยังให้ร่มเงาได้เป็นอย่างดีอีกด้วยนะ ส่วนถ้าใครคิดจะปลูกต้นวาสนาล่ะก็ ตามตำราเขาแนะนำให้ปลูกทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และควรปลูกในวันอังคาร โดยให้ผู้หญิงเป็นผู้ปลูกจะดีที่สุด เพราะชื่อวาสนาอธิษฐานเป็นชื่อที่เหมาะกับสุภาพสตรี
การดูแล : ต้องการแสงแดดอ่อนรำไรจนถึงแสงแดดจัด และควรรดน้ำอย่างน้อย 5-7 วันต่อครั้ง ควรใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 0.5-1 กิโลกรัม/ต้น ควรใส่ปีละ 5-6 ครั้ง ลักษณะพิเศษอีกอย่างอยู่ที่ใบ คือถ้าส่วนใบได้รับแสงแดดสม่ำเสมอ ทำให้สีสันของใบสวยงามยิ่งขึ้น
ไผ่
ลักษณะทั่วไป : ต้นไผ่มีหลากหลายชนิด ทั้งไผ่เหลืองทอง ไผ่สีสุก ไผ่เตี้ย ไผ่น้ำเต้า แต่คนโบราณเชื่อกันว่า ถ้าปลูกไผ่สีสุกจะช่วยให้สมาชิกในบ้านประสบความสำเร็จ ร่ำรวยเงินทอง และมีความสุขกันถ้วนหน้า ส่วนลักษณะที่เด่นชัดเหมือนกันของต้นไผ่ นั่นก็คือ เป็นไม้ไม่ผลัดใบใน ขึ้นเป็นกอ ลำต้นเป็นปล้อง ๆ เหยียดตรง แข็งแรง
การดูแล : ต้นไผ่เป็นพืชที่ดูแลง่าย แต่ทั้งนี้ในช่วงแรกต้องคอยกำจัดวัชพืช ซึ่งหลังจาก 1 ปี จะไม่มีวัชพืชขึ้นแล้ว เนื่องจากใบของไผ่จะบังแสงแดดไม่ให้ส่องถึงพื้น หากจะปลูกต้นไผ่ ควรปลูกไว้ริมรั้วของบ้าน หรือบริเวณที่โล่งกว้าง ให้ต้นไผ่ได้แตกหน่อเจริญงอกงาม และควรปลูกไว้ทางทิศตะวันออก เพื่อให้ต้นไผ่ได้รับแสงแดดยามเช้า นอกจากนี้ ยังควรปลูกต้นไผ่ในวันเสาร์จึงจะเป็นมงคล
ลักษณะทั่วไป : ไม้ยืนต้นประเภทไม้พุ่มขนาดย่อม ลำต้นมีความสูงประมาณ 3-5 เมตร ผิวลำต้นเรียบสีน้ำตาลปนเทา ลำต้นตั้งตรง แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มตรงกลม ใบแตกออกจากต้นและปลายกิ่ง ลักษณะใบมีรูปร่าง สีสันและขนาดที่แตกต่างกันออกไปแล้วแต่ชนิดของพันธุ์ ดอกออกเป็นพวงห้อยลงมาด้านล่าง ซึ่งออกมาจากปลายกิ่งพวงหนึ่งยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร ดอกมีสีขาวขนาดของดอกเล็กมาก ดอกมี 5 กลีบ ดอกบานเต็มที่จะเห็นเกสรตัวผู้เป็นเส้นฝอย การบานของดอกเป็นรูปทรงกลม
การดูแล : ต้นโกสนเป็นต้นไม้ที่ต้องการแสงแดดอ่อนรำไร จนถึงแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง ต้องการน้ำปริมาณปานกลาง ชอบดินร่วนซุย ส่วนการใส่ปุ๋ยควรใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก อัตรา 0.5-1 กิโลกรัม/ต้น ใส่ ปีละ 5-6 ครั้ง และเพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นโกสนไว้ทางทิศตะวันออก ผู้ปลูกควรปลูกในวันอังคาร เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เพื่อเอาประโยชน์ทั่วไปทางใบให้ปลูกในวันอังคาร
ลักษณะทั่วไป : แสงจันทร์ เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นมีความสูงประมาณ 5-10 เมตร ผิวเปลือกลำต้นสีขาวเทา ผิวลำต้นเรียบลำต้นและกิ่งเจริญออกไปรอบต้นใบสีเหลืองอมเขียวอ่อน ปลายใบแหลมขอบใบเรียบ ใบเป็นใบเดี่ยว แตกออกตามข้อ ของกิ่ง เนื้อใบมองเห็นเส้นใบได้ชัด ใบบางนิ่ม ขนาดความกว้างของใบประมาณ 10-15 เซนติเมตร ยาวประมาณ 20-30 เซนติเมตรดอกออกเป็นช่อช่อดอกประกอบด้วยดอกเล็ก ๆ ติดอยู่ที่ก้านดอกประมาณ 10 - 15 ดอกมี 5 กลีบสีขาวช่อดอกจะออกตามปลายยอด
สำหรับต้นแสงจันทร์คนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นแสงจันทร์ไว้ประจำบ้านจะทำให้เกิดความงดงามนิ่มนวลเพราะลักษณะใบแสงจันทร์ มีสีเหลืองอมเขียวอ่อน ๆ เมื่อกระทบแสงจันทร์แล้วจะเกิดประกายแสงสีเหลืองนวลเด่นงานสดใสเหมือนแสงจันทร์นอก
การดูแล : ต้นแสงจันทร์ต้องการเป็นต้นไม้ที่ต้องการแสงแดดอ่อนรำไร จนถึงแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง ต้องการน้ำปริมาณปานกลาง ควรให้น้ำ 5-7 วันต่อครั้ง ชอบดินร่วนซุย มีความชื้นปานกลาง และเพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นแสงจันทร์ไว้ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ผู้ปลูกควรปลูกในวันอังคาร เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เอาประโยชน์ทั่วไปทางใบ ให้ปลูกในวันอังคาร ถ้าจะให้เป็นสิริมงคลแก่ตนเอง ผู้ปลูกควรเป็นสุภาพสตรี เพราะแสงจันทร์เป็นชื่อที่เหมาะสมสำหรับสุภาพสตรี นอกจากนี้ลักษณะความสวยงาม ก็เปรียบเสมือนกับสุภาพสตรีอีกด้วย
ลักษณะทั่วไป : ต้นประดู่อังสนา หรือประดู่บ้านเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่มีความสูงประมาณ 10-25 เมตร มีใบเป็นช่อ ๆ แตกออกจากปลายกิ่ง ลักษณะของใบนั้นเป็นรูปมนรี มีขนาดใบยาวประมาณ 2-3 นิ้ว กว้างประมาณ 1-2 นิ้ว และออกดอกเล็ก ๆ สีเหลือง ตามปลายกิ่ง
การดูแล : ต้นประดู่ต้องการแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง ชอบดินร่วนซุย ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด นิยมปลูกริมถนนเพราะกิ่งทอดลงห้อยย้อยสวยงาม
2. ปลูกเพื่อความสวยงาม
ไม้ดอกถือได้ว่าเป็นไม้ที่ให้ประโยชน์มากมาย นอกจากบางชนิดจะเพิ่มเติมความสวยงามให้กับบ้านแล้ว ยังมีกลิ่นหอมแตกต่างกันออกไปตามความชอบ แถมบางชนิดยังให้ร่มเงาได้อีกด้วยนะ หลายคนจึงนิยมปลูกต้นไม้เหล่านี้เอาไว้ริมรั้วเพื่อเพิ่มความสวยงามให้กับบ้านมากขึ้น ดังเช่นตัวอย่างต่อไปนี้
ลักษณะทั่วไป : โมกเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นมีความสูงประมาณ 5-12 เมตร ผิวเปลือกสีน้ำตาลดำ ลำต้นกลมเรียบมีจุดเล็ก ๆ สีขาวประทั่วต้น แตกกิ่งก้านสาขาออกรอบลำต้นไม่เป็นระเบียบใบเป็นใบเดียวออกเรียงกันเป็นคู่ตามก้านใบลักษณะใบ เป็นรูปไข่ รี ปลายใบมนแหลม โคนใบแหลม ขอบใบเรียบ เนื้อใบบางสีเขียว ขนาดใบกว้างประมาณ 2 เซนติเมตร ยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร ออกดอกเป็นช่อสั้น ๆ อยู่ตามปลายกิ่ง ช่อหนึ่งมีดอก 4-8 ดอก ลักษณะดอกจะคว่ำหน้าลงสู่พื้นดินมีกลีบดอก 5 กลีบ มีสีขาวกลิ่นหอม ดอกบานเต็มที่มีขนาด ประมาณ 2 เซนติเมตร ผลเป็นฝักรูปทรงกระบอกจะออกมาเป็นคู่ ลักษณะโค้งงอเข้าหากัน ภายในมีขี้เรียงอยู่จำนวนมาก ขนาดความยาวของฝักประมาณ 10-15 เซนติเมตร
สำหรับต้นโมกนั้น คนโบราณเชื่อว่า หากปลูกต้นโมกเอาไว้ภายในบ้าน ก็จะทำให้เกิดความบริสุทธิ์สะอาด มีแต่ความสุขกายสุขใจ ปลอดภัย และรอดพ้นจากสิ่งอันจะนำความทุกข์ร้อน มาสู่คนในครอบครัว ส่วนดอกของต้นโมกนั้น มีสีขาวสะอาด มีกลิ่นหอมสดชื่นตลอดทั้งวัน นอกจากจะให้ความสบายตาแล้ว ยังให้ความสบายใจอีกด้วย
การดูแล : ต้นโมกต้องการแสงแดดปานกลาง จนถึงแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง ควรให้น้ำ 5-7
วันต่อครั้ง นอกจากนี้ต้นโมกยังชอบดินร่วนซุย ที่มีความชื้นปานกลาง
และควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ในอัตรา 1-2 กิโลกรัม/ต้น ควรใส่ปีละ 4-6
ครั้ง
เฟื่องฟ้า
ลักษณะทั่วไป : เฟื่องฟ้าเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลางประเภทเถาเลื้อย ลำต้นมีความยาวประมาณ 1-10 เมตร มีลำเถาแข็งแรงเลื้อยไปได้ไกล ผิวลำต้นสีเทาหรือสีน้ำตาลลำต้นมีหนามคมแหลมยาวประมาณ 0.51 เซนติเมตร ติดอยู่เป็นระยะ ๆ ลักษณะของทรงพุ่มสามารถตัดแต่ง และบังคับทิศทางการเจริญเติบโตได้ใบเป็นใบเดี่ยวแตกตามเถาลักษณะรูปไข่ปลายใบแหลมโคนใบมนขอบใบเรียบพื้นใบเรียบสีเขียว ขนาดใบกว้าง 2 - 4 เซนติเมตร ยาวประมาณ 4-5 เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อตามส่วนยอด มีกลีบดอกหรือใบประดับ 3กลีบ ส่วนดอกจะมีดอกเล็กสีขาว กลีบดอกจะมีขนาดและสีสรรแตกต่างกันตามชนิดพันธุ์
ทั้งนี้ คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นเฟื่องฟ้าไว้ประจำบ้าน สามารถสร้างคุณค่าของชีวิตให้สูงขึ้น เพราะเฟื่องฟ้าเป็นพรรณไม้ ที่ได้รับสมญาว่า เป็นราชินีแห่งไม้ประดับเนื่องจากสามารถนำเฟื่องฟ้าไปใช้ประโยชน์ในด้านสุนทรียภาพเพื่อประดับสวนอาคารบ้านเรือนและสถานที่สำคัญต่าง ๆ
นอกจากนี้คนไทยโบราณยังมีความเชื่ออีกว่าเฟื่องฟ้าเป็นไม้มงคลทำสำคัญของเทศกาลตรุษจีน เพราะต้นเฟื่องฟ้าสามารถออกดอกสะพรั่งในช่วงเทศกาลตรุษจีนจึงทำให้บางคนเรียกต้นเฟื่องว่าว่าต้นตรุษจีนดังนั้นบางคนเชื่อว่า เมื่อช่วงดอกเฟื่องฟ้าบานแสดงถึง ความเบิกบาน สว่างไสว ความรุ่งเรือง ที่ก้าวไกลแห่งชีวิต
สำหรับตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูก เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นเฟื่องฟ้า ไว้ทางทิศตะวันออก ผู้ปลูกควรปลูกในวันพุธ เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เพื่อเอาประโยชน์ทั่วไปทางด้าน ให้ปลูกในวันพุธ และถ้าจะให้เป็นสิริมงคลยิ่งขึ้น ผู้ปลูกควรเป็นสตรี เพราะเฟื่องฟ้าเป็นราชินีแห่งไม้ประดับ ดังนั้นชื่อจึงเหมาะสมอย่างยิ่งกับสุภาพสตรี
การดูแล : เฟื่องฟ้านั้น เรียกได้ว่าเป็นดอกไม้ที่เลี้ยงง่ายตายยาก โดยทั่วไปแล้วเฟื้องฟ้าชอบน้ำปานกลาง ควรให้น้ำ 3 - 5 วัน/ครั้ง และควรปลูกในดินร่วนซุย ที่มีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ ส่วนเรื่องโรคและแมลงก็ไม่ค่อยมีปัญหาสักเท่าไรนัก แต่ควรระวังไม่ให้น้ำมากจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้รากเน่าได้
ดอกแก้ว
ลักษณะทั่วไป : เป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็ก สูงได้ถึง 10 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มกลมทึบ สีเขียวเข้ม เปลือกต้น สีขาวเทา แตกเป็นร่องตามยาว ส่วนใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ เรียงสลับ มีใบย่อย 5-9 ใบ เรียงสลับกันจากเล็กไปหาใหญ่ สีเขียวเข้มเป็นมัน ใบย่อยที่ปลายก้านใบรูปไข่ รูปรี หรือรูปไข่กลับ ปลายแหลม โคนแหลมหรือสอบ ขอบเป็นคลื่นหรือหยักมนตื้น ๆ โคนใบเบี้ยวเล็กน้อย ใบมีต่อมน้ำมัน สำหรับดอกนั้น เป็นช่อดอกสั้น ออกตามง่ามใบ ดอกสีขาว กลิ่นหอม กลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบเลี้ยง ขนาดเล็ก ปลายมน กลีบดอกรูปขอบขนานแกมรูปไข่กลับ ยาวประมาณ 1.2 เซนติเมตร เรียงซ้อนเหลื่อม ฐานรองดอกรูปวงแหวน เกสรเพศผู้ 10 อัน ยาวไม่เท่ากัน ยาวประมาณกึ่งหนึ่งของกลีบดอก ก้านเกสรเพศผู้แบน รังไข่ติดเหนือวงกลีบ ก้านเกสรเพศเมียหนา ยาวประมาณ 0.7 เซนติเมตร ยอดเกสรรูปโล่ ร่วงง่าย ดอกบานเต็มที่กว้าง 2-2.5 เซนติเมตร
คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นแก้วไว้ประจำบ้านจะทำให้เป็นคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ มีความเบิกบาน เพราะ แก้ว คือ ความใสสะอาด ความสดใส นอกจากนี้ดอกแก้วยังมีสีขาวสะอาดกลิ่นหอมอบอวล ทั้งยังสามารถนำดอกแก้วไปใช้ในพิธีบูชาพระในพิธีทางศาสนาได้ ถือเป็นสิริมงคลยิ่ง และเพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นแก้วไว้ทางทิศตะวันออก ผู้ปลูกควรปลูกในวันพุธ เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เอาประโยชน์ทั่วไปทางดอกให้ปลูกในวันพุธ
การดูแล : ต้นแก้วต้องการแสงแดดจัด และควรรดน้ำอย่างน้อย 3 - 5 วัน/ครั้ง ควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 1 - 2 กิโลกรัม/ต้น ใส่ปีละ 4 - 6 ครั้ง หรือใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ สูตร 15-15-15 อัตรา 200- 300 กรัม/ต้น ใส่ปีละ 4 - 6 ครั้ง
ลักษณะทั่วไป : เป็นไม้พุ่มออกดอกเป็นช่อที่ปลายยอดหรือกิ่งข้าง ดอกมีหลากสีด้วยกันคือ สีแดง ส้ม ชมพู เหลือง และขาว เป็นต้น ดอกเข็มมีลักษณะเป็นหลอดเล็ก ๆ ที่ปลายหลอดมีกลีบแยกจากกันเป็น 4 กลีบ ถ้าดอกซ้อนอาจจะมีถึง 8 กลีบ หรือมากกว่านั้น เกสรตัวผู้ติดอยู่ที่หลอดดอกด้านบน และอยู่สลับกับกลีบ เกสรตัวเมียยื่นเลยหลอดดอกออกมา มี 2 แฉก เข็มจะออกดอกตลอดทั้งปี น้ำหวานจากดอกเข็มมีปริมาณมาก เราสามารถดูดน้ำหวานด้วยปากโดยตรงจากดอกเข็มแต่ละดอกได้โดยง่าย
คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกเข็มไว้ประจำบ้าน จะทำให้มีความฉลาดเฉียบแหลม เพราะเข็มคือสิ่งที่มีความแหลมคมดังนั้นคนไทยโบรานจึงใช้ดอกเข็มในพิธีไหว้ครูเพื่อจะได้เป็นนักปราชญ์ที่มีสติปัญญาฉลาดเฉียบแหลมนอกจากนี้ยังใช้ดอกเข็มเป็นเครื่องบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และพิธีทางศาสนาได้เป็นสิริมงคลยิ่งนัก
ส่วนตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูก เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นเข็มไว้ ทางทิศตะวันออก ผู้ปลูกควรปลูกในวันพุธเพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เพื่อเอาประโยชน์ทั่วไปทางดอก ให้ปลูกในวันพุธ
การดูแล : ต้นเข็มชอบแสงแดดจัด ๆ หรือแสงแดดกลางแจ้ง ส่วนน้ำต้องการน้ำเพียงแค่ปานกลางเท่านั้น และต้นเข็มยังสามารถทนต่อความแห้งแล้งได้ ชอบดินร่วนซุย ดินร่วนปนทราย มีความชุ่มชื้น และควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 0.5-1 กิโลกรัม/ต้น ควรใส่ 5-6 ครั้ง/ปี
ลักษณะทั่วไป : เป็นพืชล้มลุกหลายฤดู มีลำต้นใต้ดินเป็นหัวกลม ส่วนที่โผล่พ้นดินเป็นกายใบอัดกันแน่น ส่วนใบเป็นใบเดี่ยว เรียงซ้อนเป็นวงกว้าง 7-15 เซนติเมตร ยาว 1 เมตร ปลายใบแหลม แผ่นใบอวบหนา มีหน่อจำนวนมากขึ้นรวมกันเป็นกอ แผ่นใบเป็นมันเรียบ ลักษณะแคบ เรียวยาว เรียงเวียนรอบ แกนลำต้น ออกดอกเป็นช่อ มีก้านช่อดอกยาว สำหรับดอกนั้น มีลักษณะช่อดอกขนาดใหญ่ ลักษณะคล้ายปากแตร ผลค่อนข้างกลม มีสีขาวหรือม่วงแดง ออกเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง มีดอกย่อยจำนวนมาก 10-30 ส่วนดอกพลับพลึง มีก้านช่อดอกที่อวบใหญ่ กลีบดอกตอนโคนเชื่อมกันเป็นหลอด ยาว 7-10 เซนติเมตร ปลายแยกเป็น 6 กลีบแคบ ๆ กว้าง 1 เซนติเมตร ยาว 7 เซนติเมตร ดอกทยอยบาน มีกลิ่นหอม พลับพลึงดอกสีแดงจะมีช่อดอกและดอกใหญ่กว่าพลับพลึงดอกสีขาว
การดูแล : พลับพลึงชอบขึ้นในดินที่ชื้นสามารถทนอยู่ในดินแฉะที่ไม่ค่อยระบายน้ำหรือในบริเวณที่แห้งแล้งในบางช่วงได้ นิยมปลูกกันตามร่องสวนในภาคกลางทั่วไป เป็นพืชที่ทนทาน ไม่ต้องมีการบำรุงรักษามากนัก
ลักษณะทั่วไป : พุทธรักษาเป็นพรรณไม้ล้มลุก เนื้ออ่อนอวบน้ำ ลำต้นมีความสูงประมาณ 1-2 เมตร มีลำต้นอยู่ใต้ดินเรียกว่า เหง้า มีการเจริญเติบโตโดยแตกหน่อเป็นกอคล้ายกับกล้วย ลักษณะหน่อที่เจริญเป็นต้นเหนือพื้นดินนั้นมีลักษณะกลมแบนสีเขียวขนาดลำต้นโตประมาณ 2-4 เซนติเมตร ใบมีขนาดใหญ่สีเขียวโคนใบและปลายใบรีแหลม ขอบใบเรียบ กลางใบเป็นเส้นนูนเห็นได้ชัดโคนใบมีก้านใบซึ้งยาวเป็นกาบใบหุ้มลำต้นซ้อนสลับกัน ขนาดใบกว้างประมาณ 10-15 เซนติเมตร ยาวประมาณ 25-35 เซนติเมตร ออกดอกเป็นช่อตรงส่วนยอดของลำต้น ช่อดอกยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร ประกอบด้วยดอก 8-10 ดอก และมีกลีบดอกบางนิ่ม ขนาดของดอกและสีสันแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์
นอกจากนี้ คนโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นพุทธรักษาไว้ประจำบ้านจะช่วยคุ้มครอง ป้องกันอันตรายแก่บ้านและผู้อาศัยได้ เพราะพุทธรักษาเป็นพรรณไม้ที่คนโบราณเชื่อว่า มีพระเจ้าคุ้มครองรักษาให้มีความสงบสุข คือเป็นไม้มงคลนั่นเอง สำหรับตำแหน่งของผู้ปลูกนั้น เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นพุทธรักษาไว้ทางทิศตะวันตก ผู้ปลูกควรปลูกในวันพุธ เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เอาประโยชน์ทั่วไปทางดอกให้ปลูกในวันพุธ
การดูแล : ดอกพุทธรักษา ชอบแสงรำไร หรือแสงแดดจัดกลางแจ้ง และต้องการปริมาณน้ำปานกลาง ควรให้น้ำ 3-5 วัน/ ครั้ง เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย ควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 0.5-1 กิโลกรัม/กอ ปีละประมาณ 4-6 ครั้ง
3. ปลูกเอาผล
ไม้ผลส่วนมากมักจะมีลำต้นสูงใหญ่ เพราะนอกจากจะออกผลให้เราได้เก็บกินแล้ว ยังให้ประโยชน์ในเรื่องความร่มเงาอีกด้วย ซึ่งไม้ผลบางชนิด ก็ออกดอกให้ได้รับประทานทั้งปี บางชนิดทั้งออกดอก แถมปลูกแล้วยังเป็นสิริมงคล จึงเป็นที่นิยมนำมาปลูกกันหลายชนิด เช่น
ลักษณะ : เป็นไม้ผลที่นิยมปลูกค่อนข้างมาก เนื่องจากมะม่วงนั้น สามารถปลูกได้ง่าย และปลูกได้ทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย จึงไม่แปลกที่มะม่วงเป็นไม้ผลที่มีผู้นิยมปลูกและรับประทานมากเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย แต่การเลือกพื้นที่ปลูกให้เหมาะสม ต้องคำนึงถึง
สำหรับ มะม่วงเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงประมาณ 10–30 เมตร ใบ ใบเดี่ยวสีเขียว ขอบใบเรียบ ฐานใบมน ปลายใบแหลม ดอก เป็นช่อ กลีบดอกมี 5 กลีบ เกสรสีแดงเรื่อๆ ดอกออกช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ช่วงฤดูร้อนจะติดผล ผล ยาวประมาณ 5–20 เซนติเมตร กว้าง 4–8 เซนติเมตร ลูกดิบสีเขียว เมื่อสุกเปลี่ยนเป็นสีเหลือง หรือเหลืองส้ม มีเมล็ดภายใน 1 เมล็ด
ลักษณะ : ทับทิมเป็นไม้พุ่มแตกกิ่งก้าน โคนต้นมีกิ่งที่เปลี่ยนไปเป็นหนามยาว แข็ง ใบ เดี่ยว แผ่นใบแคบ ขอบใบเป็นรูปขอบขนาน ยอดอ่อนเป็นสีแดง ใบออกเป็นคู่ ๆ ตรงข้ามกัน หรือใบออกสลับกัน ดอก เดี่ยว กลีบเลี้ยงหนาสีแดง จะคงทนอยู่จนเป็นผล กลีบดอกสีแดง หรือสีเหลืองอ่อน ถ้ากลีบดอกสีแดง ผลเมื่อแก่จัดจะมีเปลือกแดงปนชมพู ปนน้ำตาลเหลือง ถ้ากลีบดอกสีเหลืองอ่อน ผลแก่จัดสีเหลืองปนน้ำตาล ผล กลมโต แล้วแต่พันธุ์ เปลือกนอกของผลหนาค่อนข้างเหนียว เปลือกด้านในสีเหลือง ภายในมีเมล็ดเป็นจำนวนมาก อัดกันแน่นเต็มเปลือก แต่ละเมล็ดมีเนื้อสีชมพู หรือสีแดงลักษณะใส มีรสหวาน หวานอมเปรี้ยว
ลักษณะ : เป็นต้นไม้ขนาดเล็กถึงขนาดกลาง โดยเป็นไม้ยืนต้น สูงประมาณ 3-10 เมตร ลำต้นเกลี้ยงมัน เปลือกต้นเรียบ ใบเดี่ยว ออกดอกเดี่ยวหรือเป็นช่อ 2-3 ใบ โดยจะออกดอกตามซอกใบ กลีบดอกเป็นสีขาว ร่วงง่าย มีเกสรตัวผู้เป็นจำนวนมาก ออกผลเป็นสีเขียว รับประทานได้ เมื่อสุกแล้วจะมีผลเป็นสีเหลือง เนื้อนิ่ม
สำหรับฝรั่ง จะมีฤทธิ์เป็นยาสมุนไพร ใช้ดับกลิ่นปากได้ หากนำใบไปต้มแล้วดื่มจะช่วยป้องกันลำไส้อักเสบ ท้องเสีย คออักเสบ เสียงแห้ง ทั้งยังสามารถนำมาทาแก้ผื่นคัน หรือแผลพุพองได้ ฝรั่งจึงเป็นต้นไม้ที่หลายบ้านนิยมปลูกไว้ริมรั้ว เพราะมีประโยชน์มากมายนั่นเอง
ได้รู้จักกับต้นไม้ริมรั้วแบบคร่าว ๆ กันไปแล้ว หากใครสนใจปลูกต้นไม้ริมรั้วเอาไว้รอบ ๆ บ้าน ลองพิจารณาต้นไม้ที่เหมาะสมกับพื้นที่ และลงมือปลูกได้เลยจ้า ขอให้ผลิดอกออกผลไว ๆ เป็นร่มเงาที่สวยงามให้บ้านนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก nanagarden.com, thaigoodview.com, paisarn.com, utaiwan-farm.com และ thaigoodview.com