เทคนิคการดูแลสวนให้สวยอยู่เสมอ ตั้งแต่การเลือกซื้อต้นไม้ การเตรียมดิน ไปจนถึงการใส่ปุ๋ยให้เหมาะสม เพื่อให้สวนสวยตลอดทั้งปี
ด้วยความที่มีมลพิษจากสิ่งแวดล้อมมากขึ้นทุกวัน ทำให้เราหาอากาศบริสุทธิ์ได้ยากเต็มที อย่างนี้คนที่มีสวนส่วนตัวอยู่ในบ้านก็คงยิ้มร่า เพราะไม่ต้องไปตระเวนหาอากาศบริสุทธิ์จากสวนสาธารณะที่ไหน แต่หากมีสวนสวยแล้วไม่ดูแลรักษาก็คงไม่ดีแน่ เพราะสวนสวย ๆ ที่จะให้ความสดชื่นคงจะกลับกลายเป็นสวนเฉา ๆ ที่เต็มไปด้วยต้นไม้แห้งเหี่ยว อย่างนั้นเรามาดูแลสวนให้สวยร่มรื่นอยู่เสมอด้วยวิธีต่อไปนี้ดีกว่าค่ะ
1. ตรวจสอบต้นไม้ให้ดีก่อนซื้อมาปลูก
ก่อนจะเลือกต้นไม้มาปลูกในสวน เราควรต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่าต้นไม้ต้นนั้นมีสุขภาพดี ไม่เป็นโรค เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้โรคนั้นแพร่ระบาดไปยังต้นไม้อื่น ๆ แต่หากไม่แน่ใจว่าต้นไม้สุขภาพไม่ดีมีลักษณะเป็นอย่างไร แนะนำให้ศึกษาจากหนังสือต้นไม้ หรือหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตดูก่อน หรือจะตรวจสอบเบื้องต้นด้วยตัวเองง่าย ๆ ก็ได้ โดยควรเลือกต้นที่ไม่มีใบแห้งตาย ลำต้นไม่เน่า และไม่มีแมลงติดไปกับต้นด้วย นอกเหนือจากนี้ควรเลือกต้นที่มีรากแข็งแรง ซึ่งสามารถตรวจสอบได้โดยคว่ำมือลงบนกระถางต้นไม้ และใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางหนีบลำต้นไว้ จากนั้นค่อย ๆ คว่ำกระถางและขยับนิ้วที่หนีบลำต้นเพียงเล็กน้อย เพื่อให้ต้นไม้ค่อย ๆ หลุดออกจากกระถาง จะได้เห็นรากต้นไม้อย่างชัดเจน รากที่ดีควรมีลักษณะขาว อวบเต็ม และแผ่กระจายเต็มก้อนดินนะคะ
2. ใช้ปุ๋ยหมักที่ได้มาตรฐาน
บางคนมักจะใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพหรือ EM ที่ทำเองจากการหมักเศษใบไม้ในสวน แต่ปุ๋ยหมักชีวภาพทำเองแบบนี้อาจไม่ค่อยปลอดภัยสักเท่าไร เพราะกระบวนการหมักด้วยตัวเองอาจไม่สามารถฆ่าเชื้อโรคที่เป็นอันตรายแก่ต้นไม้ได้อย่างหมดจด ดังนั้น ควรเลือกใช้ปุ๋ยหมักที่ได้มาตรฐานจะดีกว่า เพราะผ่านกระบวนการหมักด้วยความร้อนสูง ซึ่งมั่นใจได้ว่าจะสามารถฆ่าเชื้อโรคได้หมดสิ้น ไม่ทำให้เชื้อโรคกลับมาทำลายต้นไม้ได้อีก ปลอดภัยกว่ากันเยอะเลยค่ะ
3. อย่าลืมป้องกันแมลง
แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากให้ต้นไม้โดนแมลงแทะให้แหว่งเว้าไม่สวยงาม ดังนั้น หากมีแมลงมารุกรานสวนสวยของเราให้เสียหายก็ควรต้องกำจัดกันสักหน่อย โดยเฉพาะเพลี้ย ที่สามารถแพร่กระจายประชากรได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งหากมองหายาฆ่าแมลงที่ปราศจากสารเคมีอันตราย หรือชนิดที่มีสารอันตรายน้อยที่สุด ก็จะยิ่งทำให้สามารถป้องกันแมลงได้แบบไม่เสียสุขภาพด้วยนะคะ
4. เก็บกวาดใบไม้แห้ง
เมื่อมีต้นไม้ก็ย่อมต้องมีใบไม้ที่หล่นร่วงลงมาเกลื่อนพื้นดิน ซึ่งก็คงไม่ดีแน่ถ้าเราปล่อยเฉย ไม่เก็บกวาดให้สะอาด เพราะใบไม้ที่ร่วงลงมาอาจจะมีเชื้อโรคหรือไวรัสเกาะอยู่ ซึ่งอาจแพร่กระจายลงตามพื้นดินได้ ดังนั้น ควรหมั่นเก็บกวาดใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมาให้สะอาดอยู่เสมอ รวมถึงลิดใบไม้ที่เหลือง ๆ และมีลักษณะของโรค เช่น มีรอยดำ หรือมีเพลี้ยเกาะอยู่ออกจากต้นไม้ด้วย เพื่อป้องกันโรคที่อาจส่งผลต่อสุขภาพของคุณและสุขภาพของต้นไม้ต้นอื่น ๆ ในสวนด้วยนะคะ
5. ใส่ปุ๋ยอย่างพอดี
ปุ๋ยช่วยบำรุงให้ต้นไม้ได้สารอาหารครบถ้วน ทำให้ต้นไม้และดอกไม้ให้ผลผลิตที่สวยงาม แต่ทั้งหมดนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับปริมาณของปุ๋ยที่ใส่ด้วย เพราะถ้าหากใส่เยอะเกินไปก็อาจทำให้รากไหม้ หรือลดการดูดซึมน้ำของรากได้ แต่หากใส่น้อยเกินไป พืชก็จะได้สารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ไม่แข็งแรงและเกิดโรคได้ง่าย ดังนั้น เราจึงต้องใส่ใจการใส่ปุ๋ย โดยขั้นต้นก็ดูสูตรปุ๋ยและสารอาหารจากปุ๋ยก่อน หรือจะสอบถามผู้เชี่ยวชาญเพื่อความแน่ใจก็ดีว่าต้นไม้แต่ละชนิดควรจะให้ปุ๋ยอย่างไร
6. เลือกปลูกพืชพันธุ์ต้านทานโรค
คนที่มีภูมิต้านทานดีมักจะแข็งแรงกว่าคนที่มีภูมิต้านทานต่ำ ดังนั้น มองหาพืชพันธุ์ต้านทานโรคมาปลูกในสวนก็จะดีไม่น้อย โดยส่วนมากมักจะดูได้จากฉลากบนซองเมล็ดพันธุ์ เช่น มะละกอ มะเขือเทศ ถั่วเหลือง พริก เป็นต้น เฉพาะกับพืชผักสวนครัวนะคะ แต่สำหรับพืชดอกคงต้องสอบถามจากทางร้าน หรือจะหาข้อมูลจากหนังสือและอินเทอร์เน็ตก็ได้จ้า
ต้นไม้ทั้งไม้ดอกและไม้ผลก็มีความต้องการแสงแดดที่ต่างกัน ดังนั้น ก่อนจะลงหลักปักฐานให้ต้นไม้แต่ละชนิดก็ควรต้องเช็กให้แน่ใจก่อนว่าได้ปลูกถูกตำแหน่งแล้วหรือไม่ เช่น ปลูกต้นปาริชาตที่ชอบแดดไว้ในตำแหน่งที่แดดส่องได้ดี และปลูกต้นแคทลียาในตำแหน่งที่หลบแดดได้ เพราะเป็นไม้ดอกที่ไม่ชอบแดด เป็นต้น เพื่อให้ต้นไม้นั้น ๆ มีอายุยืนยาว ไม่เหี่ยวเฉาเพราะแสงแดดที่ผิดความต้องการ
ปลูกต้นไม้ไว้แล้วก็ควรต้องหมั่นรดน้ำดูแลอยู่เสมอด้วย ต้นไม้จะได้เขียวชอุ่มไม่ขาดน้ำจนแห้งเหี่ยวตายกลายเป็นสวนร้างได้ แต่การรดน้ำต้นไม้ก็ต้องมีความพอดีกับต้นไม้แต่ละต้น เพราะพืชบางชนิดก็ชอบน้ำ เช่น ต้นชวนชม ต้นโมก และบางชนิดอย่างพิกุล ชบา เยอบีร่า ก็ไม่ชอบน้ำ ดังนั้น หากไม่อยากพลาดทำให้รากเน่าก็ควรต้องศึกษาชนิดของต้นไม้ที่มีในสวนให้ดี จะได้ดูแลได้อย่างถูกต้องจ้า
การปลูกต้นไม้ชิดกันจนเกินไปอาจทำให้เกิดความชื้นมาก เป็นผลให้ต้นไม้เป็นโรคราแป้งและราน้ำค้างได้ นอกจากนี้การปลูกต้นไม้ชิดกันแบบนี้ยังจะทำให้พืชแย่งน้ำ แสงแดด และสารอาหารกันอีกด้วย ทำให้ต่างก็เจริญเติบโตได้ช้า จนในที่สุดพืชที่อ่อนแอกว่าก็จะค่อย ๆ ตายลงไป หากโชคร้ายมีต้นไม้ต้นใดต้นหนึ่งเกิดโรคขึ้นมา ต้นที่อยู่ถัด ๆ ไปก็อาจจะได้รับผลกระทบ พากันเป็นโรคหมดเลยก็ได้ ดังนั้น พยายามรักษาระยะห่างของต้นไม้ให้พอดี ไม่ชิดจนเกินไป เพื่อให้ต้นไม้แต่ละต้นเติบโตได้อย่างทั่วถึงนะจ๊ะ
หากอยากมีสวนเขียวชอุ่ม เต็มไปด้วยพืชพรรณสวยงาม และให้อากาศบริสุทธิ์กับเราได้เต็มปอด อย่าลืมนำวิธีทั้ง 9 ข้อนี้ไปใช้กันดูนะคะ
7. ปลูกต้นไม้ให้ถูกตำแหน่ง
ต้นไม้ทั้งไม้ดอกและไม้ผลก็มีความต้องการแสงแดดที่ต่างกัน ดังนั้น ก่อนจะลงหลักปักฐานให้ต้นไม้แต่ละชนิดก็ควรต้องเช็กให้แน่ใจก่อนว่าได้ปลูกถูกตำแหน่งแล้วหรือไม่ เช่น ปลูกต้นปาริชาตที่ชอบแดดไว้ในตำแหน่งที่แดดส่องได้ดี และปลูกต้นแคทลียาในตำแหน่งที่หลบแดดได้ เพราะเป็นไม้ดอกที่ไม่ชอบแดด เป็นต้น เพื่อให้ต้นไม้นั้น ๆ มีอายุยืนยาว ไม่เหี่ยวเฉาเพราะแสงแดดที่ผิดความต้องการ
8. หมั่นรดน้ำอยู่เสมอ
ปลูกต้นไม้ไว้แล้วก็ควรต้องหมั่นรดน้ำดูแลอยู่เสมอด้วย ต้นไม้จะได้เขียวชอุ่มไม่ขาดน้ำจนแห้งเหี่ยวตายกลายเป็นสวนร้างได้ แต่การรดน้ำต้นไม้ก็ต้องมีความพอดีกับต้นไม้แต่ละต้น เพราะพืชบางชนิดก็ชอบน้ำ เช่น ต้นชวนชม ต้นโมก และบางชนิดอย่างพิกุล ชบา เยอบีร่า ก็ไม่ชอบน้ำ ดังนั้น หากไม่อยากพลาดทำให้รากเน่าก็ควรต้องศึกษาชนิดของต้นไม้ที่มีในสวนให้ดี จะได้ดูแลได้อย่างถูกต้องจ้า
9. ไม่ควรปลูกต้นไม้ชิดกันจนเกินไป
การปลูกต้นไม้ชิดกันจนเกินไปอาจทำให้เกิดความชื้นมาก เป็นผลให้ต้นไม้เป็นโรคราแป้งและราน้ำค้างได้ นอกจากนี้การปลูกต้นไม้ชิดกันแบบนี้ยังจะทำให้พืชแย่งน้ำ แสงแดด และสารอาหารกันอีกด้วย ทำให้ต่างก็เจริญเติบโตได้ช้า จนในที่สุดพืชที่อ่อนแอกว่าก็จะค่อย ๆ ตายลงไป หากโชคร้ายมีต้นไม้ต้นใดต้นหนึ่งเกิดโรคขึ้นมา ต้นที่อยู่ถัด ๆ ไปก็อาจจะได้รับผลกระทบ พากันเป็นโรคหมดเลยก็ได้ ดังนั้น พยายามรักษาระยะห่างของต้นไม้ให้พอดี ไม่ชิดจนเกินไป เพื่อให้ต้นไม้แต่ละต้นเติบโตได้อย่างทั่วถึงนะจ๊ะ
หากอยากมีสวนเขียวชอุ่ม เต็มไปด้วยพืชพรรณสวยงาม และให้อากาศบริสุทธิ์กับเราได้เต็มปอด อย่าลืมนำวิธีทั้ง 9 ข้อนี้ไปใช้กันดูนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก : crestproperty.in และ barebonesliving.com