วิธีปลูกสับปะรดด้วยจุก พร้อมเคล็ดลับเพิ่มรสหวานแถมผลใหญ่

          ไม่ต้องมีพื้นที่เป็นไร่ก็ปลูกสับปะรดได้ เพราะวันนี้เรามีวิธีการปลูกสับปะรดด้วยจุกแบบง่าย ๆ ด้วยตัวเองมาฝาก พร้อมข้อมูลน่ารู้ก่อนปลูกสับปะรด 

ปลูกสับปะรดด้วยจุก
 
          การปลูกสับปะรดดูเป็นเรื่องที่ไกลตัวสำหรับคนที่ไม่ได้มีอาชีพทำไร่ทำสวน แต่เราก็สามารถปลูกสับปะรดเอาไว้รับประทานเองในบ้านได้เหมือนกัน ถึงจะมีเนื้อที่ในบ้านไม่พอให้ทำสวนก็ไม่เป็นไร เพราะพื้นที่เล็ก ๆ ก็ปลูกได้ โดยการปลูกสับปะรดด้วยจุก พร้อมเคล็ดลับในการดูแลให้เนื้อหวานฉ่ำ แถมผลใหญ่ 

ลักษณะและสายพันธุ์สับปะรด


          สับปะรด เป็นพืชที่มีต้นกำเนิดจากทวีปอเมริกาใต้ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Ananas comosus และมีชื่อสามัญว่า Pineapple ในไทยก็มีชื่อเรียกอื่น ๆ แตกต่างตามพื้นถิ่น ได้แก่ ย่านัด (ภาคใต้) บ่อนัด (ภาคเหนือ) บักนัด (ภาคอีสาน) 

          โดยเป็นพืชในกลุ่มใบเลี้ยงเดี่ยว มีลำต้นอยู่ใต้ดิน มีดอกช่อออกกลางต้น ความสูงประมาณ 90-100 เซนติเมตร ออกผลเป็นผลรวมทรงกระบอก ปลายผลมีใบกระจุก ออกผลผลิต 2 ช่วง คือ ระหว่างเดือนเมษายน-มิถุนายน และเดือนพฤศจิกายน-มกราคมของทุกปี สายพันธุ์ที่นิยมปลูกในไทยมี 6 สายพันธุ์ คือ พันธุ์ปัตตาเวีย พันธุ์ภูเก็ต พันธุ์สวี พันธุ์นางแล พันธุ์อินทรชิต และพันธุ์ตราดสีทอง 
 

วิธีปลูกสับปะรดด้วยจุก


1. คัดสับปะรดพันธุ์ดี


          ควรเลือกผลสับปะรดที่เนื้ออิ่มแน่น จุกสับปะรดต้องเป็นสีเขียว ไม่เหลือง และไม่มีใบสีน้ำตาล ส่วนผลสับปะรดก็ควรมีสีเหลืองทอง ไม่เขียว หรืออ่อนจัดจนเกินไป ที่สำคัญต้องตรวจสอบให้แน่ใจด้วยว่าจุกหรือใบสับปะรดไม่มีแมลงมากัดกิน โดยสังเกตได้จากจุดสีเทาเป็นกลุ่มเล็ก ๆ เกาะติดอยู่ตามใบ หากพบเจอแมลงกินพืชเหล่านี้ต้องหาสับปะรดผลไม้มาเป็นพันธุ์แทน

          นอกจากนี้ผลสับปะรดที่เลือกต้องเป็นผลที่กำลังดี ไม่สุกหรืออ่อนจนเกินไป ซึ่งวิธีการตรวจสอบสับปะรดก็ทำไม่ยาก เพียงแค่ลองดึงจุกสับปะรดเบา ๆ หากจุกสับปะรดหลุดออกอย่างง่ายดายก็แสดงว่าสับปะรดลูกนั้นสุกเกินไปที่จะนำมาเพาะเป็นพันธุ์แล้วล่ะค่ะ

2. เตรียมจุกสับปะรดสำหรับลงปลูก


ปลูกสับปะรดด้วยจุก

          หลังจากได้ผลสับปะรดคุณภาพดีมาแล้ว (ควรคัดเลือกสับปะรด 2 ลูก เพื่อป้องกันความผิดพลาด) ต่อจากนี้ให้คุณใช้มือบิดจุกสับปะรดออกมา โดยหลีกเลี่ยงการใช้มีดตัดจุกสับปะรด เพราะความคมของมีดอาจจะทำให้คุณตัดสับปะรดเข้าถึงเนื้อ เป็นเหตุให้สับปะรดเน่าเสียทั้งลูกได้

          เมื่อบิดจุกสับปะรดออกมาได้แล้ว คราวนี้ให้ใช้มีดค่อย ๆ เล็มโคนจุกสับปะรดให้มีลักษณะเรียบเสมอกัน โดยในระหว่างที่ใช้มีดปาดบาง ๆ ก็พยายามสังเกตด้วยว่าเราปาดถึงเนื้อเยื่อและรากของสับปะรด (ปุ่มกลม ๆ เล็ก ๆ ลักษณะคล้ายตาสับปะรด) แล้วหรือยัง ถ้าปาดจนเริ่มเห็นรากสับปะรดแล้ว ขั้นต่อไปให้ดึงกาบใบสับปะรด โดยเริ่มจากส่วนโคนจุกสับปะรดก่อน ดึงกาบใบออกไปเรื่อย ๆ ประมาณ 3-4 ชั้น เป็นการเปิดทางให้รากงอกออกมาได้สะดวกขึ้น แต่ก่อนจะนำจุกสับปะรดปักลงกระถาง ควรตากจุกสับปะรดประมาณ 2-3 วัน โดยคว่ำยอดจุกลงพื้นดินเพื่อฆ่าเชื้อโรค และให้แสงแดดเลียรอยแผลจนแห้งและรัดตัว ป้องกันจุกสับปะรดเน่าเสีย 

3. เพาะพันธุ์ขยายราก


          ก่อนนำจุกไปปลูกให้นำมาแช่น้ำเพื่อขยายรากสับปะรดก่อน โดยขั้นตอนนี้ให้ใช้โหลพลาสติก หรือแก้วขนาดใหญ่ ใส่น้ำสะอาด แล้วนำจุกสับปะรดไปปักแช่ไว้ประมาณ 3 สัปดาห์ ระหว่างนั้นก็ต้องเปลี่ยนน้ำในขวดโหลทุก ๆ 2-3 วันด้วย ทั้งนี้ ควรวางขวดโหลไว้ในห้องที่มีอุณหภูมิปกติ คือไม่ร้อนจัดหรือเย็นจัดเกินไป หรืออาจจะวางขวดโหลไว้บนหลังตู้เย็นก็ได้

 

4. ปลูกลงกระถาง


ปลูกสับปะรดด้วยจุก

          หลังจากเพาะจนรากสับปะรดเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแล้ว ให้คุณเตรียมกระถางสำหรับปลูกสับปะรดได้เลย โดยเลือกกระถางปลูกต้นไม้ความสูงประมาณ 8 นิ้ว และมีรูระบายน้ำมากพอสมควร จากนั้นรองก้นกระถางด้วยหิน เทให้หนาประมาณ 2 นิ้ว ตามด้วยลงดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย ผสมปุ๋ยคอกในอัตราส่วน 50:50 เสร็จแล้วให้ปักจุกสับปะรดลงไป กลบดินให้แน่น

          ทั้งนี้ ในระยะแรกให้คุณหมั่นรดน้ำต้นสับปะรดพอประมาณ รักษาระดับความชื้นของดินให้สมดุล ไม่เปียกจัดและไม่แห้งระแหงจนเกินไป ที่สำคัญในช่วง 6-8 สัปดาห์แรก จะเป็นช่วงที่รากสับปะรดกำลังเติบโตและสร้างความแข็งแรงให้ตัวเอง ดังนั้น ทางที่ดีอย่าเพิ่งใส่ปุ๋ย หรือรบกวนต้นสับปะรดนะคะ หลังจากนั้นประมาณ 2 เดือน รากของต้นสับปะรดจะเริ่มแข็งแรง พร้อมจะงอกหน่อ ซึ่งหากอยากตรวจสอบความสมบูรณ์แข็งแรงของรากก็ทำได้โดยลองดึงจุกสับปะรดเบา ๆ หากต้นสับปะรดยึดเกาะกับดินในกระถางอย่างเหนียวแน่น หมายความว่ารากมีความแข็งแรงมากพอแล้ว และในระยะนี้คุณจะเริ่มเห็นต้นสับปะรดงอกรากใหม่แล้วล่ะค่ะ

          แต่ในกรณีที่รากสับปะรดยังอ่อนแอ หรือมีปัญหาเกิดขึ้น คุณจะสามารถดึงจุกสับปะรดออกมาจากกระถางได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเมื่อเจอแบบนี้ก็คงต้องตรวจสอบความผิดปกติกันหน่อย ง่าย ๆ ก็แค่สำรวจดูรากว่าเน่าหรือมีเชื้อรารบกวนหรือไม่ และถ้าเจอปัญหาเหล่านี้คงต้องเริ่มกระบวนการเพาะจุกสับปะรดกันใหม่ตั้งแต่ต้นเลยล่ะ แต่คราวนี้อย่าเผลอมือหนักรดน้ำจนชุ่มแฉะเกินไปนะคะ

วิธีดูแล


ปลูกสับปะรดด้วยจุก

1. แสงแดดและอุณหภูมิที่เหมาะสม


          เนื่องจากสับปะรดเป็นพืชเขตร้อน เราจึงต้องวางกระถางต้นสับปะรดไว้ในมุมที่แดดส่องถึงอย่างน้อย 6 ชั่วโมง และควรรักษาอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต ประมาณ 24-30 องศาเซลเซียส หรือถ้าวันไหนที่แดดดีจะนำกระถางต้นสับปะรดไปตากแดดจัด ๆ ก็จะดีมาก เพราะจะช่วยเสริมให้สับปะรดเติบโตอย่างมีชีวิตชีวามากขึ้น อีกทั้งยังเสริมภูมิคุ้มกันโรคพืชและศัตรูพืชได้ด้วย

          แต่หากคุณไม่สามารถจัดวางกระถางต้นสับปะรดในจุดที่มีแดดส่องถึงได้ แนะนำให้ใช้หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์เปิดอนุบาลต้นสับปะรดวันละประมาณ 12-14 ชั่วโมง ในช่วงแรก ๆ จนกว่าต้นสับปะรดจะโตและเริ่มมีดอกออกผล จึงค่อยลดการใช้ไฟเป็นวันละ 10-11 ชั่วโมงในเวลาต่อมา
 

2. การรดน้ำ


          ควรหมั่นรดน้ำสม่ำเสมอ อย่างน้อยประมาณ 1 ลิตรต่อต้น ยกเว้นในช่วงฤดูฝน ควรระวังไม่ให้น้ำเยอะเกินไปจนดินแฉะ เพราะอาจทำให้รากเน่าได้ นอกจากนี้ควรระวังเรื่องเชื้อรา 
 

3. การให้ปุ๋ย


          เคล็ดลับที่ทำให้สับปะรดหวานฉ่ำก็คือ ควรให้ปุ๋ยฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และไนโตรเจน อย่างสม่ำเสมอเดือนละ 1 ครั้ง โดยให้ปุ๋ยในปริมาณเล็กน้อยก็พอ ซึ่งจะเลือกให้ปุ๋ยทางกาบใบ ด้วยการโรยปุ๋ยบริเวณกาบใบล่างของต้น หรือให้ปุ๋ยชนิดเหลว ด้วยการฉีดพ่นกาบใบ หรือราดบนหน้าดินรอบ ๆ ก็ได้เช่นกัน แต่ทั้งนี้ต้องระวังอย่าใส่ปุ๋ยที่โคนต้นโดยตรง เพราะอาจจะทำให้รากเกิดความเสียหายได้ และหากให้ปุ๋ยน้อยเกินไปก็อาจจะส่งผลต่อรสชาติของสับปะรด 
 

4. โรคพืชและศัตรูพืช


          ศัตรูพืชที่มักจะมาก่อกวนต้นสับปะรด คือ ไร เชื้อรา และอาการตกสะเก็ด ซึ่งสามารถกำจัดได้โดยการล้างกาบใบด้วยน้ำสบู่อ่อน ๆ ส่วนโรคพืชที่พบบ่อยจะเป็นโรครากเน่า รากเกิดเชื้อรา สังเกตได้ง่าย ๆ จากการที่กาบใบตรงกลางเป็นสีน้ำตาลคล้ำออกดำ และเวลาที่ดึงจุกสับปะรด รากก็จะหลุดออกมาได้โดยง่าย ซึ่งสาเหตุของโรคพืชเหล่านี้ก็มาจากการรดน้ำมากเกินไป รวมทั้งการใส่ปุ๋ยตรงกลางลำต้น ทำลายเนื้อเยื่อของรากให้เน่าตายนั่นเอง และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องระมัดระวังการรดน้ำและให้ปุ๋ยต้นสับปะรดให้มาก
 

การออกดอกและผล


          แม้พื้นฐานของสับปะรดจะเป็นผลไม้เนื้อหวานฉ่ำ แต่ในระหว่างที่รอคอยผลผลิตนานนับปี เราจะมีโอกาสได้เห็นดอกของสับปะรดในช่วงเดือนที่ 12 ถึงเดือนที่ 14 ในขณะที่ต้นสับปะรดเจริญเติบโตได้ประมาณ 21 นิ้วเป็นต้นไป ตรงกลางของจุกจะผลิดอกสีแดงสดออกมาให้เราได้ชมจนชื่นใจ แต่สำหรับผลผลิตที่เรารอคอยจะเริ่มแตกหน่อประมาณเดือนที่ 20 และจะใช้เวลาเติบโตจนกว่าจะสุกงอมพร้อมรับประทานในเดือนที่ 24-26 เป็นต้นไป

การบังคับดอก


          เนื่องจากเราปลูกต้นสับปะรดด้วยวิธีบ้าน ๆ อีกทั้งยังปลูกสับปะรดในจำนวนน้อย จึงอาจจะไม่เหมาะเท่าไรนักหากจะใช้สารเคมีเร่งดอก แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็สามารถใช้วิธีบ้าน ๆ บังคับดอกสับปะรดได้เช่นกัน เพียงแค่นำกระถางต้นสับปะรดใส่ลงไปในถุงที่มีผลแอปเปิลสุกงอม (ช้ำจนเกือบจะเน่านิดหน่อยก็ได้) จากนั้นวางถุงทิ้งไว้ในที่ที่มีแสงแดดรำไร นานเป็นเวลา 2 สัปดาห์ หลังจากนั้นค่อยนำถุงต้นสับปะรดไปตากแดดจัด ผลแอปเปิลสุกจะปล่อยก๊าซเอทิลีนออกมาเร่งต้นสับปะรดให้ออกดอกเร็วขึ้นได้

          หรือคุณจะใช้วิธีวางก้อนแคลเซียมคาร์ไบด์ (Calcium Carbide) ปริมาณเพียงแค่นิ้วก้อยเล็ก ๆ ของเรา ตรงบริเวณโคนต้น แล้วรดน้ำประมาณ ¼ ถ้วยตวงตามลงไป วิธีนี้ก็จะช่วยให้เกิดสารเอทิลีนเร่งดอกสับปะรดอีกทางหนึ่งได้ แต่ทั้งนี้คุณควรทำในช่วงเย็นหรือเวลากลางคืนจะได้ผลดีที่สุด
 

ระยะเวลาที่ควรเก็บเกี่ยว


          เมื่อสับปะรดออกผลแล้ว ตามปกติจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือนกว่าที่ผลสับปะรดจะเปลี่ยนจากสีเขียว สด แล้วค่อย ๆ เป็นสีเหลืองจากด้านล่าง ไล่ระดับไปจนถึงผลด้านบน และกลายเป็นสีเหลืองทองทั้งลูก บ่งบอกถึงความสุกงอมเต็มที่ แต่ถ้าใครใจร้อนจะรอให้ผลสับปะรดเหลืองแค่กลางลูก หรือเป็นสีเหลืองประมาณ 10% ก็ถือว่าใช้ได้แล้วล่ะค่ะ ทั้งนี้ ผลสับปะรดจะมีน้ำหนักประมาณ 1-2 กิโลกรัม ลิ้มรสผลไม้ลูกแรกในชีวิตให้อิ่มหนำกันได้เลย
 

หลังการเก็บเกี่ยว


          ต้นสับปะรดหลังการเก็บเกี่ยวจะสามารถไว้ต่อได้ประมาณ 1-2 ครั้ง โดยให้คุณตัดต้นสับปะรดในระดับเหนือดินประมาณ 20-30 เซนติเมตร จากนั้นใช้พืชคลุมดินป้องกันวัชพืชและเก็บรักษาความชุ่มชื้น ในระหว่างนั้นก็รดน้ำดูแลต่อไปอีกสักประมาณ 2-3 เดือน ต้นสับปะรดจะเริ่มแตกหน่อข้างออกมา และเติบโตจนออกผลได้อีกครั้ง
 
          แม้ว่าการปลูกสับปะรดเพื่อกินผลจะต้องรอนานนับปี แต่เราเชื่อว่าหากใครได้กินสับปะรดที่ตัวเองทุ่มเทแรงกายแรงใจปลูกและดูแลมาตลอด คงต้องภูมิใจและกินสับปะรดผลนั้นได้อร่อยกว่าครั้งไหน ๆ แน่นอนจ้า

ขอบคุณข้อมูลจาก : วิชาเกษตร และพลังเกษตร
 
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
วิธีปลูกสับปะรดด้วยจุก พร้อมเคล็ดลับเพิ่มรสหวานแถมผลใหญ่ อัปเดตล่าสุด 10 พฤษภาคม 2567 เวลา 14:58:08 185,876 อ่าน
TOP
x close