เรื่องควรรู้ในการเลือกซื้อทีวี ไม่รู้จะซื้อทีวียี่ห้อไหนดี มาดูวิธีเลือกซื้อทีวีและเรื่องที่คนอยากซื้อทีวีควรรู้กันเลย
เทคโนโลยีทีวีในปัจจุบันนั้นถือว่าไปไกลมาก ผู้ผลิตหลาย ๆ เจ้าต่างพัฒนาและผลิตออกมาเรื่อย ๆ จนมีหลายรุ่น หลายขนาด และจอหลากหลายแบบให้เลือก ตั้งแต่จอนูน จอแบน ไปจนถึงจอโค้ง ที่ตามมาด้วยฟังก์ชั่นอำนวยความสะดวกอีกมากมายมาเสนอให้กับผู้ใช้ ซึ่งรูปแบบที่หลากหลายเหล่านี้นี่แหละที่อาจทำให้บางคนตัดสินใจซื้อทีวีไม่ได้สักที เพราะไม่รู้ว่าจะซื้อทีวียี่ห้อไหนดีและเราเหมาะกับการใช้ทีวีแบบใด ถ้าอย่างนั้นลองมาดูหลักการพิจารณาในการเลือกซื้อทีวี ที่กระปุกดอทคอมนำมาฝากกันในวันนี้พร้อม ๆ กันเลยค่ะ
เลือกขนาดจอทีวีอย่างไร ?
ในการเลือกขนาดของจอทีวีนั้นให้พิจารณาจากจำนวนสมาชิกในครอบครัว พื้นที่ที่จะใช้วางทีวี งบประมาณ รวมไปถึงระยะระหว่างที่นั่งกับจอทีวี ขนาดของจอภาพที่เหมาะสมสามารถคำนวณได้จากการเอาระยะทางจากสายตาไปยังจอภาพ คูณด้วยค่า 0.535 แล้วปัดเศษไปหาขนาดจอภาพที่มีวางขายที่ใกล้เคียงที่สุด ตัวอย่างเช่น หากตำแหน่งดูห่างจากใบหน้า 80 นิ้ว หรือ 2 เมตร ขนาดของจอภาพที่เหมาะสมที่สุดคือ 42 นิ้ว (80 x 0.535 = 42.8)
ประเภทของจอทีวีมีอะไรบ้าง ?
1. จอ LCD
จอ LCD เป็นจอภาพที่ราคาไม่แพงมากแต่ยังคงคุณภาพอยู่ จอจะให้ภาพที่มีความคมชัดและมีสีสดใส แต่ข้อเสียคือดูจากด้านข้างจอจะมืด ต้องดูจากแนวตรงเท่านั้น และความบางนั้นยังสู้จอ LED ไม่ได้
2. จอ LED
เป็นจอทีวีที่พัฒนามาจากจอ LCD ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในท้องตลาด เพราะให้ภาพที่คมชัด สมจริง คุณภาพเยี่ยม มีอัตราการตอบสนองที่รวดเร็ว นอกจากนี้ยังเป็นจอทีวีที่บาง มีน้ำหนักเบา ไม่ใหญ่เทอะทะ วางได้ทั้งบนโต๊ะและติดผนัง เหมาะกับห้องทุกสภาพแสง โดยเฉพาะที่มีแสงสว่างมาก
3. จอ OLED
จอทีวีที่ให้คุณภาพดีกว่าจอ LCD และจอ LED มีลักษณะคล้ายแผ่นฟิล์ม บาง สามารถดัดให้โค้งงอได้ แสดงสีภาพได้อย่างแม่นยำและเป็นธรรมชาติ บริเวณภาพที่เป็นสีดำจะไม่มีการเปล่งแสง ที่สำคัญยังช่วยประหยัดพลังงานได้อีกแรงด้วย
จอโค้งกับจอแบน จอแบบไหนดีกว่ากัน ?
ทีวีจอโค้งและทีวีจอแบนจะให้ภาพที่ไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก แต่ราคาของทีวีจอโค้งจะสูงกว่าทีวีจอแบน เพราะทีวีจอโค้งมีข้อได้เปรียบคือ ภาพที่ปรากฏบนจอจะทำมุมพอดีกับสายตามากกว่า ทำให้มองเห็นภาพได้เต็มตา ดูทีวีได้ไกลขึ้น และมีอาการจอสะท้อนน้อยกว่า
ค่าความต่างมีความสำคัญอย่างไร ?
ค่าความต่าง (Contrast Ratio) คือ อัตราส่วนสีดำที่ดำที่สุดและสีขาวที่ขาวที่สุดที่ทีวีสามารถแสดงได้ ยิ่งมีค่าความต่างสูงเท่าไหร่ภาพก็จะยิ่งดูลึก มีมิติสมจริงมากเท่านั้น สีสันความสว่างของภาพจะดี มีรายละเอียดไม่คลุมเครือ
จำนวนพิกเซลมีความสำคัญอย่างไร ?
ทีวีในปัจจุบันมีความละเอียดจอให้เลือกมากมายทั้ง 1080p, 2K, 4K และ 8K แต่ละแบบจะมีจำนวนของพิกเซลซึ่งจะให้ความคมชัดของภาพแตกต่างกัน ดังนี้
1. 1080p (Full HD)
1,080 เป็นจำนวนที่แสดงถึงเส้นแบ่งพิกเซลจากบนลงล่างหรือในแนวตั้งของจอทีวี มีความละเอียดอยู่ที่ 1,920 x 1,080 หรือ 2,073,600 พิกเซล เป็นจอภาพมาตรฐานในปัจจุบัน ซึ่งจะแสดงภาพแบบ Full HD สามารถเล่นวิดีโอเกมที่ภาพมีความละเอียดสูง ดูหนัง Blu-ray ได้อย่างสบาย ๆ เนื่องจากเทคโนโลยี Blu-ray นั้นผลิตมาให้พอดีกับจอแบบ 1080p โดยเฉพาะ
2. 2K
จอทีวีแบบ 2K จะนับจำนวนเส้นแบ่งพิกเซลจากซ้ายไปขวา ต่างจากจอแบบ 1080p Full HD ที่นับจำนวนเส้นจากบนลงล่าง โดยมีจำนวนเส้นแบ่งพิกเซลอยู่ที่ 2,048 เส้น ส่วน K ย่อมาจาก กิโล ซึ่งเป็นหน่วยแบบคอมพิวเตอร์ ดังนั้นจึงเป็นที่มาของชื่อ 2K ภาพที่ได้จะละเอียดมากกว่าแบบ Full HD นิยมใช้กันในโรงหนังและสมาร์ทโฟนบางรุ่น
3. 4K (Ultra High Definition)
จอทีวีที่มีความละเอียดมากกว่าทีวี 1080p Full HD ถึง 4 เท่า โดยความละเอียดของจอภาพอยู่ที่ 3,840 x 2,160 หรือ 8,294,400 พิกเซล จะเห็นได้ว่าความละเอียดในแนวนอนนั้นเป็น 3,840 แต่ได้มีการปัดขึ้นให้เป็น 4,000 จึงเป็นที่มาของชื่อ 4K ด้วยจำนวนพิกเซลที่เยอะถึง 8 ล้าน เม็ดพิกเซลจะเรียงตัวถี่มากยิ่งขึ้น รอยต่อระหว่างพิกเซลจึงแคบลง ภาพในจอทีวีระบบนี้จึงเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น
4. 8K
เป็นเทคโนโลยีจอภาพที่ทันสมัยที่สุดในขณะนี้ โดยจอมีความละเอียดถึง 7,680 x 4,320 หรือ 33,177,600 พิกเซล ซึ่งในตอนนี้มีผู้ผลิตแค่บางเจ้าทดลองผลิตออกมา แต่เนื่องจากว่ามีราคาสูงมาก ทำให้จอ 8K ยังคงเป็นแค่คอนเซ็ปต์อยู่
5. Full HD หรือ 4K
หลายคนอาจจะคิดว่า ซื้อทีวีทั้งทีเอาแบบดี ๆ 4K ไปเลยดีกว่า แต่สำหรับตอนนี้เทคโนโลยีจอทีวี 4K ในปัจจุบันยังถือเป็นเทคโนโลยีแห่งโลกอนาคตอยู่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทีวี 4K ออกมาเลย เพียงแต่สัญญาณทีวีในปัจจุบันยังเป็นแบบ 1080i ซึ่งมีความละเอียดที่น้อยกว่าจอ 4K ดังนั้นภาพที่ออกมาจึงไม่แตกต่างกับจอแบบ 1080p มากนัก
เมื่อทราบหลักการซื้อและรายละเอียดแล้ว ก็ลองนำไปพิจารณารุ่นทีวีที่ชอบกันได้นะคะว่า เหมาะหรือไม่เหมาะอย่างไร เพื่อให้ได้ใช้ทีวีได้อย่างคุ้มค่ากับจำนวนเงินที่เสียไปค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Recombu, tomsguide, cnet, lcdtvthailand, kafaak, iimpak และ thaidigitaltelevision