เคยสังเกตไหมว่า ขนาดอยู่ในบ้านแท้ ๆ ทำไมถึงเกิดอาการคันตามผิวหนังขึ้นมาได้ ไม่ได้คิดไปเองหรอก...เพราะภายในบ้านของทุกคนต่างก็มีตัวการที่ทำให้เกิดอาการคัน นอกจากยุงแล้ว ก็เหล่าสิ่งของใกล้ตัวทั้ง 9 อย่างนี่แหละที่เราต้องสัมผัสและใกล้ชิดอยู่ทุกวัน ถ้าไม่อยากให้คนในบ้านต้องเผชิญกับอาการคันและโรคภูมิแพ้ แนะนำว่าให้หลีกเลี่ยงทั้ง 9 อย่างนี้ซะ
แม้เทียนหอมจะช่วยปรับอากาศในบ้านให้มีกลิ่นหอมและรู้สึกผ่อนคลาย แต่มีอันตรายที่แฝงมาจากสารเบนซินและสารโทลูอีนที่ถูกใช้ในกระบวนการอุตสาหกรรม ซึ่งเสี่ยงทำให้เกิดอาการหอบหืดได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs : Volatile organic compounds) ที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม ที่เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจและระคายเคืองต่อดวงตา ดังนั้นสิ่งที่ควรทำหลังจากจุดเทียนก็คือ เมื่อกลิ่นหอมเริ่มกระจายไปทั่วห้องแล้ว ก็ให้รีบดับเทียนทันที จะช่วยลดปริมาณของสารพิษได้
เพราะสารเคมีที่พ่นออกมาจากสเปรย์ปรับอากาศและเครื่องทำละอองน้ำนั้น เป็นสารเคมีชนิดเดียวกับเทียนหอม ซึ่งทำให้เกิดอาการแพ้และอาการคัน โดยเฉพาะสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs : Volatile organic compounds) เป็นสารพิษ ต้นเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการหอบหืด
ใช่ว่าห้องนอนจะปลอดภัยไปเลยซะทีเดียว เพราะบรรดาหมอนและแผ่นรองนอนเป็นแหล่งสะสมของฝุ่นและสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “ไรฝุ่น” ซึ่งเป็นสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้ผิวหนังแห้ง เป็นสะเก็ดและเกิดอาการคันตามมา ยิ่งคนที่เป็นภูมิแพ้ด้วยแล้วจะทำให้อาการกำเริบได้ง่าย ทางที่ดีควรทำความสะอาดทุกสัปดาห์ด้วยการนำหมอนและแผ่นรองนอนไปซักในน้ำร้อนอุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส และหาซื้อปลอกหมอนรวมไปถึงผ้าคลุมที่มีคุณสมบัติป้องกันไรฝุ่นมาสวมใส่ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการคันและภูมิแพ้ได้
4. ตุ๊กตาและของเล่น
สิ่งของชนิดนี้ก็ก่อให้เกิดอาการคันเช่นเดียวกับหมอนและแผ่นรองนอน นอกจากจะเป็นแหล่งสะสมฝุ่นชั้นดีแล้ว ตุ๊กตาและของเล่นที่มีผิวสัมผัสนุ่มนิ่มเหล่านี้ ยังนำมาซึ่งอาการคันผิวหนังอีกด้วย โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคภูมิแพ้อยู่แล้ว ก็จะยิ่งเป็นอันตรายเข้าไปใหญ่ ดังนั้นจึงควรหมั่นทำความสะอาดบ่อย ๆ โดยการนำไปซักในน้ำร้อนอุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส ประมาณเดือนละครั้ง
5. ผ้าเช็ดตัว
เรียกได้ว่าเป็นของใกล้ตัวที่หลีกเลี่ยงได้ยากจริง ๆ เพราะเป็นสิ่งที่ต้องใช้ทุกวัน หากไม่ได้ทำความสะอาดนาน ๆ หรือนำมาใช้ต่อทั้ง ๆ ที่ผ้าเช็ดตัวยังชื้น เมื่อเรานำไปเช็ดร่างกาย ผิวหนังก็จะเริ่มมีอาการระคายเคืองและคันตามมา ยิ่งถ้าเป็นช่วงหน้าหนาวด้วยแล้ว ผิวจะแห้งเป็นพิเศษและจะทำให้รู้สึกคันยุบยิบเข้าไปใหญ่ ดังนั้นควรนำไปซักอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง หรือหลังจากใช้ประมาณ 6 ครั้ง เพื่อลดการก่อตัวของแบคทีเรีย
6. สัตว์เลี้ยง
คงน่าเศร้าใจไม่น้อย ถ้าหากคนรักสัตว์ต้องมาแพ้สัตว์เลี้ยงซะเอง ซึ่งสาเหตุเกิดจากสะเก็ดผิวหนังเล็ก ๆ ของน้องหมาและน้องแมวมักจะหลุดปลิวไปในอากาศ และเมื่อเราสัมผัสหรือหายใจเข้าไปก็เสี่ยงก่อให้เกิดอาการคันผิวหนัง หายใจผิดปกติ และอาการอื่น ๆ ที่จะตามมา ถ้ายังอยากมีสัตว์เลี้ยงอยู่เคียงข้างตลอดไป ก็ต้องหมั่นทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศของเครื่องปรับอากาศ ทำความสะอาดเศษขยะกับฝุ่นในบ้าน สร้างที่อยู่นอกบ้านให้สัตว์เลี้ยง และไม่นำสัตว์เข้ามาห้องนอน ก็จะช่วยลดสาเหตุของอาการเหล่านี้ลงได้
7. โซฟาหนัง
เราอาจจะไม่ค่อยได้ยินกันบ่อยว่า โซฟาหนังคือสาเหตุที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ผิวหนัง ขอยืนยันอีกเสียงว่าเป็นเรื่องจริง เนื่องจากโซฟาหนังหรือเฟอร์นิเจอร์บุหนังมีการนำสารไดเมธิลฟูมาเรท (Dimethyl fumarate) มาใช้เพื่อป้องกันเชื้อรา และสารนี้เองที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการแพ้เมื่อเราไปสัมผัส โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ก็อาจทำให้เกิดอาการคัน จาม หรือมีผื่นที่ผิวหนังได้
แทบไม่อยากเชื่อเลยใช่ไหมว่า เครื่องดูดฝุ่น จะเป็นตัวการที่ทำให้เกิดอาการคันและโรคภูมิแพ้ได้ แม้เครื่องดูดฝุ่นจะช่วยกำจัดฝุ่นได้ก็จริง แต่ก็อย่าลืมนึกไปว่าเครื่องดูดฝุ่นนี่แหละคือแหล่งสะสมฝุ่นตัวยงเลย เอาเป็นว่าถ้าบ้านไหนจำเป็นที่จะต้องใช้เครื่องดูดฝุ่นก็ขอให้ตรวจเช็กก่อนจะซื้อว่า เครื่องดูดฝุ่นนั้นมีมาตรฐานรับรองแผ่นกรองฝุ่นด้วยหรือไม่ และหมั่นทำความสะอาดตัวเครื่องและไส้กรองบ่อย ๆ เพื่อลดสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการคัน
9. ต้นไม้
ถึงแม้ต้นไม้ที่ใช้ปลูกในอาคารจะช่วยฟอกอากาศและปรับบรรยากาศในบ้านให้สดชื่นได้ก็จริง แต่ความชื้นที่อยู่ในดินซึ่งรวมไปถึงสวนขวดด้วยนั้น คือตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดอาการแพ้และคันผิวหนัง บางครั้งการปลูกต้นไม้ในบ้านก็อาจกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อราชั้นดี หากมีคนเป็นภูมิแพ้จึงควรเลี่ยงการปลูกต้นไม้ในบ้านจะดีกว่า ถ้าคนในบ้านเป็นโรคภูมิแพ้อยู่แล้วก็จะทำให้เกิดอาการคันตามผิวหนัง หายใจติดขัด และอาการแพ้อื่น ๆ อีกก็เป็นได้
สิ่งของที่เรานำมาบอกต่อกันในวันนี้อาจจะทำให้ใครหลายคนตกใจ เพราะมันใกล้ตัวมากกว่าที่คิด ถ้าไม่อยากให้คนในบ้านเจ็บป่วยเพราะสิ่งของเหล่านี้ ก็ควรหลีกเลี่ยงและทำตามคำแนะนำกันด้วยนะคะ เพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคนในบ้าน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก housebeautiful และ prevention