8 วิธีรับมือ เมื่อลมฝนพัดผ่านเข้ามาในสวน

8 วิธีรับมือ เมื่อลมฝนพัดผ่านเข้ามาในสวน


8 วิธีรับมือ เมื่อลมฝนพัดผ่านเข้ามาในสวน (Life and Home)
เรื่อง : พิมพ์ชนก เกตุนวม

          เมื่อพูดถึงหน้าฝน หลาย ๆ คนคงนึกถึง ความชื้น พื้นที่เปียกแฉะเหนอะหนะ และโรคต่าง ๆ ที่ตามมา ไม่เพียงแต่โรคที่เกิดขึ้นกับคนและสัตว์เท่านั้น ต้นไม้ก็เช่นเดียวกัน หากเราไม่เตรียมรับมือหรือไม่รู้วิธีที่ถูกต้องในการป้องกัน อาจทำให้ต้นไม้ในสวนสวย ๆ ของคุณเกิดอ่อนแอ และตายไปในที่สุด สำหรับฤดูฝนนี้ ท่านผู้อ่านที่ชื่นชอบและรักการตกแต่งสวนสวยคงไม่อยากให้สวนของท่านโดนทำลายจากสายฝนและแรงลม เพื่อไม่ให้ความสวยของสวนหมดไป วันนี้เรามีวิธีการรับมือที่ควรทำก่อนฝนมาเยือนสวนของท่านค่ะ

1. ควรตัดแต่งกิ่งต้นไม้ให้โปร่งก่อนจะเข้าหน้าฝน

          ถ้ากิ่งก้านของต้นไม้ทึบมากเกินไปจะทำให้ฉีกขาดได้ง่ายจากพายุและลมกระโชกแรง อีกทั้งยังช่วยให้ต้นไม้มีรูปร่างรูปทรงที่สวยงาม และป้องกันการระบาดของโรคและแมลงออกไปจากต้น ป้องกันสัตว์นานาชนิดทั้งมีพิษและไม่มีพิษเข้ามาอาศัยอยู่ เช่น งู ตะขาบ ไส้เดือนฝอย นอกจากจะเป็นศัตรูของต้นไม้ที่สวยงามแล้ว ยังเป็นอันตรายต่อคนในครอบครัวของคุณเอง ฉะนั้นควรสังเกตและป้องกันให้ดี เพื่อไม่ให้มีสัตว์อันตราย เข้ามาวิ่งเล่นในสวนของเราค่ะ

2. ต้องคำนึงว่าพื้นที่ปลูกต้นไม้มีมักมีน้ำท่วมขัง

          ในหน้าฝนสิ่งที่ต้องตามมาคือ ปริมาณฝนที่มากมายไม่หยุดหย่อน ฉะนั้นเราควรปรับพื้นที่ที่เป็นเนินหรือไม่สม่ำเสมอให้เรียบเนียนเสมอกัน เพราะถ้าหากท่วมขังเป็นเวลานานจะทำให้ต้นไม้ เกิดโรครากเน่าได้ อีกทั้งควรทำทางระบายน้ำออกจากสวนให้รวดเร็วมากที่สุด และต้องคำนึงถึงปริมาณที่จะทับถมต้นไม้ด้วย เพราะถ้าหากปริมาณของดินมาทับถมที่โคนต้นมาก อาจทำให้เกิดโรคโคนเน่าตามมาได้เช่นกัน

3. ทำการฉีดพ่นยาป้องกันกำจัดเชื้อราด้วย

          สิ่งที่จะขาดเสียไม่ได้เลยสำหรับการดูแลต้นไม้ คือ การหมั่นดูแลรักษา กำจัดแมลงและศัตรูพืชอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื้อรา และที่มักพบบ่อยมากที่สุดในช่วงของหน้าฝน ก็คือ ราเขม่าดำ ที่มาพร้อมกับเพลี้ยแป้ง วิธีที่เราจะสามารถป้องกันได้นั้น มีอยู่ 2 วิธี คือทางเคมีและธรรมชาติ ถ้าหากเชื้อรามีในปริมาณที่มากก็ควรนำสารกำจัดเคมีเชื้อรามาฉีดพ่น หรือถ้าหากมีปริมาณที่น้อยก็ทำได้โดยวิธีธรรมชาติคือเด็ดบริเวณที่เกิดเชื้อนำไปเผาทำลาย เพื่อเป็นการป้องกันและไม่ทำให้ต้นไม้แสนรักของเรามีสุขภาพที่แย่ลงอีกทั้งยังชวนไม่น่ามองอีกด้วยค่ะ

4. บำรุงต้นไม้อย่างถูกวิธี

          การดูแลต้นไม้ให้ได้ผลผลิตออกมางอกงามได้อย่างใจเรานั้น ไม่เพียงแต่จะต้องหมั่นรดน้ำ ใส่ปุ๋ย หรือพรวนดินเท่านั้น หากแต่ยังต้องใส่ใจต่อสิ่งที่เราทำให้ต้นไม้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการพรวนดินซึ่งอาจจะต้องพรวนดินให้ผิวดินแห้งและให้รากไม้ในระดับหน้าดินได้ออกมารับออกซิเจนบ้าง อีกทั้งการใส่ปุ๋ยนั้นไม่ควรใส่มากจนเกินไป ใส่ทีละเล็กทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง และรีบพรวนดินให้ดินกลบปุ๋ยก่อนที่น้ำฝนจะมาชะล้างปุ๋ยไปจนหมด เพราะนั่นไม่เพียงแต่จะเป็นการสิ้นเปลืองค่าปุ๋ยเท่านั้น แต่ยังไม่ทำให้เกิดประโยชน์อันใดกับต้นไม้ด้วย

8 วิธีรับมือ เมื่อลมฝนพัดผ่านเข้ามาในสวน

5. หมั่นกำจัดวัชพืชด้วย

          หมั่นกำจัดวัชพืชที่ขึ้นปกคุลมต้นไม้เป็นประจำ เพราะหน้าฝนวัชพืชจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและขึ้นปกคุลมต้นไม้ โดยวัชพืชที่ปกคุลมต้นไม้ในสวนของเราอยู่บ่อยครั้ง แย่งอาหาร และแสงแดดไปจากต้นไม้ ได้แก่ หญ้าแห้วหมู และหญ้าคา เป็นต้น การกำจัดตั้งแต่เนิน ๆ นั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุด เนื่องจากวัชพืชเป็นพืชที่กำจัดได้ยาก อีกทั้งยังทำให้ต้นไม้อ่อนแอ ตลอดจนเป็นแหล่งสะสมเชื้อราและโรคพืช ถ้าหากปล่อยให้วัชพืชโตเกินไปจะทำให้กำจัดยาก และเสียค่าใช้จ่ายสูง

6. สำหรับต้นไม้ใหญ่ควรค้ำยันให้ดี

          สำหรับต้นไม้ที่ปลูกใหม่ควรค้ำยันให้ดี เพราะยังมีรากที่ไม่สามารถจะพยุงลำต้นได้ อีกทั้งลมแรงอาจจะทำให้ต้นไม้ปลูกใหม่โอนเอนไปตามลม ซึ่งจะทำลายระบบรากที่กำลังแตกออก จนอาจทำให้ต้นไม้ชะงักการเจริญเติบโตได้ดูแลต้นไม้ด้วยวิธีการง่าย ๆ คือต้องค้ำยันลำต้นไม้ใหญ่ไม่ให้โอนเอนและเพื่อเป็นการป้องกันอันตรายจากการที่ต้นไม้ใหญ่อาจจะล้มทับต้นไม้เล็ก ๆ หรือสิ่งปลูกสร้างได้ค่ะ เพียงเท่านี้ต้นไม้ในสวนก็จะเจริญเติบโต คู่บ้านหลังงามของคุณตลอดไป

7. ระบบไฟภายในสวน

          สวนสวย ๆ ของคุณที่ประดับประดาไปด้วยหลอดไฟทางเดิน สายไฟทำน้ำตกหรือบ่อปลา คุณควรตรวจสอบระบบไฟในสวนว่ามีการรั่วไหลของกระแสไฟหรือไม่ หากพบให้รีบซ่อมแซม หรือถ้าไฟติด ๆ ดับ ๆ รีบหาสาเหตุและรีบแจ้งให้ช่างมาซ่อม และถ้าพื้นที่สวนของคุณมีขนาดใหญ่ ใช้ไฟหลายจุด ถ้าต้องการความถูกต้องและความปลอดภัย ควรกำหนดให้วงจรของไฟในสวนแยกต่างหากจากวงจรของไฟในบ้าน นั่นคือไม่ควรต่อไฟสนามพ่วงไว้ที่เดียวกันควรแยกเป็นจุด เพราะเมื่อถึงเวลาซ่อมบำรุงแล้วจะทำให้ง่ายต่อการซ่อมบำรุงและปลอดภัยอีกด้วยนะคะ

8. กำจัดตะไคร่น้ำ

          นอกจากตะไคร่น้ำจะทำให้สวนของคุณไม่สวยงามแล้ว ยังก่อให้เกิดอุบัติเหตุลื่นล้มได้อีกด้วย แต่หากคุณอยากกำจัดแบบถาวร ควรเลือกวัสดุที่มีความมัน เช่น พื้นกระเบื้องดินเผา หรือพื้นปูนซีเมนตัดมัน หรือเลือกพื้นวางแผ่นปูสลับกับ หินกรวด และหินทราย ซึ่งวิธีกำจัดคราบตะไคร่ทำได้โดย

          1. ใช้คลอรีนหรือน้ำยาฟอกขาว 1 ฝาต่อน้ำ 1 ถัง (20 ลิตร) นำไปเทบนพื้นผิวที่ต้องการทำความสะอาด (ข้อควรระวัง ! ควรใส่ถุงมือและหน้ากาก)

          2. ใช้แปรงขัดทำความสะอาด

          3. เมื่อพื้นผิวที่ทำความสะอาดเสร็จแล้วแห้งสนิท ให้ราดน้ำยาป้องกันตะไคร่น้ำ เพียงเท่านี้สวนสวยของเราก็ไร้ปัญหาตะไคร่น้ำมากวนใจแล้วจ้า









ขอขอบคุณข้อมูลจาก

No.222 มิถุนายน 2556




เรื่องที่คุณอาจสนใจ
8 วิธีรับมือ เมื่อลมฝนพัดผ่านเข้ามาในสวน อัปเดตล่าสุด 4 กันยายน 2556 เวลา 16:42:06 2,158 อ่าน
TOP
x close