รีโนเวทบ้านไม้อายุ 44 ปีของคุณยาย เป็นร้านกาแฟสีขาวในสวนเฟิร์นตามความฝันของตัวเองและคุณแม่ ที่เขียนไว้เป็นแนวเผื่อจะเป็นไอเดียและแรงบันดาลใจให้กับคนที่อยากจะทำร้านกาแฟของตัวเองบ้าง
รีโนเวทบ้านไม้หลังเก่า 44 ปี ให้เป็นร้านกาแฟสีขาวในสวนเฟิร์นใจกลางเมืองเชียงใหม่
ก่อนอื่นต้องขอสวัสดีทุกท่านที่เข้ามากระทู้นี้นะคะ กระทู้นี้เป็นการเขียนกระทู้ในพันทิปเป็นครั้งแรกของหนิง หากผิดพลาดยังไงก็ขออภัยด้วยนะคะ
จุดประสงค์ของการเขียนกระทู้นี้ขึ้นมาคืออยากให้ทุกคนที่มีความคิดว่าอยากจะรีโนเวทบ้านเก่าได้อ่าน ขอออกตัวก่อนเลยนะคะว่าหนิงเป็นสถาปนิกจบใหม่สด ๆ ร้อน ๆ จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพิ่งรับปริญญาไปเมื่อต้นปี 2558 แบบที่เขาเรียกกันว่า “บัณฑิตป้ายแดง” ประสบการณ์การทำงานจริงด้านออกแบบไม่มี เคยก็แต่ทำโปรเจคท์ของมหาลัยกับออกค่ายสร้างบ้านเป็นครั้งคราว ยังไม่เคยจับโปรเจคไหนมาก่อน แต่วันนี้หนิงอยากจะมารีวิวโปรเจคท์แรกที่สร้างขึ้นจริง เรียกได้ว่าทุ่มสุดตัวเลยกับโปรเจคท์นี้ เพราะเป็นโปรเจคท์รีโนเวทบ้านเก่าอายุ 44 ปีของคุณยายให้เป็นร้านกาแฟสวยในฝันของหนิงและแม่
ทั้งนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อการค้าหรือโปรโมทร้านแต่อย่างใด จึงขอโฟกัสไปที่เรื่องของการรีโนเวทบ้าน เพราะอยากเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่มีบ้านเก่าแล้วกำลังคิดจะรื้อทิ้ง ให้เห็นว่าบ้านทุกบ้านมีคุณค่าซ่อนอยู่ เป็นคุณค่าของความทรงจำเพียงแค่เรานำเอาบ้านนั้นมาปัดฝุ่นนิดหน่อย บ้านหลังเก่าก็จะกลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง
สำหรับโปรเจคท์นี้ใช้เวลาตั้งแต่คิดคอนเซ็ปต์ดึง รื้อ ทุบ เคาะส่วนที่ไม่ใช้ ก่อสร้างต่อเติมใหม่ ตกแต่งภายใน ทำสวนรวม 6 เดือน โดยหนิงคุมงานก่อสร้างเองทั้งหมด ผู้รับเหมาก็เป็นรุ่นน้องของคุณแม่ที่รู้จักกันพร้อมคนงานประมาณ 6 คน (นับรวมตัวเองลงไปในนี้แล้วนะคะ 555+)
มาพูดถึงประวัติตัวบ้านก่อนนะคะ บ้านไม้หลังนี้เป็นบ้านไม้ 2 ชั้นตั้งอยู่ในเขตคูเมืองเชียงใหม่ ตรงถนนเส้นที่ตัดผ่านหน้าวัดพระสิงห์พอดิบพอดี (ตลกตรงที่ช่างไม้แงะผนังไม้ออกมา แล้วเจอกระดาษที่ช่างสมัยก่อนเขาเอาหนังสือพิมพ์ยัดตรงกลางผนังเขียนระบุไว้ว่าปี พ.ศ. 2514 ทำให้รู้ว่าบ้านหลังนี้สร้างมาเมื่อ 44 ปีที่แล้ว)
บ้านหลังนี้คุณยายของหนิงซื้อต่อจากนายธนาคารคนหนึ่งไว้เมื่อ 30 ปี ซึ่งเป็นเวลาพอดิบพอดีกับที่คุณยายซึ่งพื้นเพเป็นคนน่านต้องการจะส่งลูก ๆ มาเรียนที่เชียงใหม่ คุณแม่เล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนตอนที่เรียนโรงเรียนประถมคุณแม่กับน้าก็พักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้แหละคะ ก่อนที่จะย้ายไปอยู่โรงเรียนประจำ พอไม่มีคนอยู่เลยเป็นบ้านเช่าสำหรับพนักงานเกือบ 10 ปี ต่อมาเมื่อคนงานย้ายออกก็ให้เช่าทำเป็นร้านอาหารต่ออีกกว่า 20 ปี ซึ่งทางร้านได้ปรับพื้นที่สนามหน้าบ้านเป็นลานซีเมนต์ไว้ขายทั้งหมด ส่วนตัวบ้านเองก็ใช้เป็นที่อยู่อาศัยจนเขาได้ย้ายออกไปเมื่อปลายปี พ.ศ. 2556 หนิงกับคุณแม่เลยคิดว่า "เอาหล่ะได้เวลาอันสมควรแล้ว ที่จะย้ายร้านเดิมในซอยออกมาที่ตรงบริเวณนี้"
- เอาล่ะค่ะมาพูดถึงลักษณะโดยรวมของตัวบ้านเก่ากันหน่อยดีกว่า หนิงขอแบ่งเป็น 3 ส่วนนะคะ
ส่วนที่ 1 ลานซีเมนต์หน้าบ้าน
เป็นลานโล่งเทพื้นซีเมนต์ตลอดลานร้อนสุด ๆ ไปเลย โดยเฉพาะในเดือนเมษายนไปยืนกลางลานนี่เรียกได้ว่าสุกเกรียมกันทีเดียวค่ะ พื้นที่ลานทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสประมาณ 100 ตารางเมตร กลางลานมีต้นปาล์มขนาดใหญ่ 3 ต้นสูงชะลูดเชียว (น่ากลัวตรงที่จะหักลงมาเมื่อไรก็ไม่รู้นี่แหละค่ะ) และบริเวณใกล้ตัวบ้านก็ยังมีต้นมะม่วงขนาดใหญ่อีก 1 ต้น นอกนั้นไม่มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกได้ว่าพืชพันธุ์ใดใด จุดนี้คุยกับคุณแม่ว่าอยากจะร้องไห้มากเพราะมันหมายถึงว่าเราต้องทำการปลูกต้นไม้ใหม่เกือบทั้งหมดลงในพื้นที่
ส่วนที่ 2 ตัวบ้าน
สำหรับตัวบ้านเป็นบ้าน 2 ชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้ หลังคาจั่ว ทรงบ้านโมเดิร์นตามสมัยนิยมเมื่อ 40 ปีก่อน ไม่แน่ชัดว่าใครออกแบบนะคะ ผังบ้านสี่เหลี่ยมผืนผ้าธรรมดา ๆ ตัวบ้านหันหน้าเข้าทิศตะวันตก มีบันไดอยู่กลางบ้าน โครงสร้างชั้นล่างเป็นคอนกรีตทั้งหมด มีการกั้นห้องเป็นส่วน ๆ ตามการใช้งานของผู้เช่า ส่วนชั้น 2 เป็นไม้ทั้งหมดตั้งแต่คาน พื้น ไปจนถึงการแบ่งกั้นห้องด้วยผนังไม้ หลังบ้านเป็นห้องน้ำสำหรับแขกซึ่งร้านอีสานต่อเติมภายหลังการเช่า
ส่วนที่ 3 ลานจอดรถ
ลานจอดรถอยู่ทางทิศเหนือของตัวบ้าน ปูอิฐตัวหนอนเต็มลาน ซึ่งก่อนการปรับปรุงคุณแม่ใช้เป็นที่เก็บของเก่า โดยเฉพาะกระเบื้องดินขอที่ถอดมาจากบ้านหลังเดิมในซอยแต่ไม่ยอมทิ้ง เพราะบอกว่ายิ่งเก่ายิ่งสวย (พวกโบราณนิยมก็แบบนี้แหละคะเก็บทุกอย่าง 555) เลยกลายเป็นกองกระเบื้องกองมโหฬารข้างบ้าน
หลังจากสำรวจพื้นที่กันแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการแปลงโฉมบ้านที่ทุกคนรอคอยกันค่ะ
ขั้นที่ 1 เลือกคอนเซ็ปต์หรือเรียกง่าย ๆ ชาวบ้าน ๆ ว่ารูปแบบแนวทางของร้านนี่แหละค่ะว่าจะให้เป็นไปในสไตล์ไหน เนื่องจากร้านเก่าก่อนที่จะย้ายมาที่นี่มีคอนเซ็ปต์ที่ค่อนข้างที่จะชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นร้านกาแฟในสวนเฟิร์น หนิงกับคุณแม่เลยคิดว่าถ้าต้องย้ายมาสร้างใหม่ก็ไม่อยากให้หลุดจากคอนเซ็ปต์เดิม ซึ่งโชคดีตรงที่ได้อาจารย์จัดสวนท่านเดิมที่เคยจัดให้ร้านแรกเมื่อ 12 ปีก่อนมาจัดให้ (พูดแล้วก็ถือโอกาสขอบคุณ อาจารย์เฉลิมเกียรติ นักจัดสวนผลงานระดับประเทศมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ สำหรับการเนรมิตป่าเฟิร์นกลางเมืองขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง)
ในขั้นต้นเราได้ทำการพิจารณาเลือกอยู่ 2 แบบ โดยหนิงได้โพสต์ภาพลงในเฟซบุ๊กและถามความคิดเห็นของเพื่อน ๆ รวมถึงที่ร้านเก่าเอง เวลามีลูกค้ามา ก็จะเอาภาพ 2 ภาพไปเปรียบเทียบให้ลูกค้าคอมเม้นท์
- แบบที่ 1 : เน้นไปที่การโชว์วัสดุเเละโครงสร้างของอาคารเดิม โดยมีการใช้เหล็กและปูนเปลือยเข้าเสริมบางส่วนเพื่อให้เข้ากับสไตล์ลอฟท์ตามสมัยนิยม เน้นการใช้กระจกเพื่อการเปิดมุมมองสู่สวนภายนอก ตกแต่งสไตล์เรียบง่าย
- แบบที่ 2 : แนวคิดบ้านไม้สีขาวท่ามกลางสวนเฟิร์น ตกแต่งสไตล์คลาสสิก ดูอบอุ่น
สรุปว่าได้แบบที่ 2 ค่ะ โดยใช้โทนสีขาวเป็นหลักและตั้งใจไว้ว่าจะตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์เก่าของสะสมของคุณแม่และเครื่องลายคราม ปลูกต้นไม้ในอาคารให้สบายตา เน้นไปที่ความโปร่งโล่งสบายให้คนเข้ามารู้สึกถึงความหรูหรา แต่ในขณะเดียวกันก็อบอุ่นเสมือนอยู่บ้าน พูดมาถึงตรงนี้ภาพนิมิตเริ่มมา ฮ่า ๆ ๆ แต่กระซิบบอกก่อนว่ากว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ก็หลงทางไปนานเหมือนกันคะ โดยหนิงกับแม่กำหนดไว้ว่าจะต้องเปิดร้านให้ทันสิ้นปี 2557 อันที่จริงแล้วตั้งใจไว้ว่าจะเปิดเดือนสิงหาคม แล้วก็เลื่อนมาเรื่อย ๆ จากสิงหาคม กันยายน ตุลาคม พฤศจิกายน มาเสร็จจริง ๆ ตอนเดือนธันวาคม อย่างนี้สินะคะที่เขาเรียกกันว่าบ้าน (ตัดไม้โทออก) กลายเป็น “บาน” บานทั้งเวลาทั้งเงินเลยค่ะ พูดแล้วน้ำตาจะไหล T^T
สำหรับชั้นล่างเริ่มจาก รื้อ ทุบ ทำลายเลยค่ะเพราะผนังเยอะมาก กั้นเป็นห้องย่อย ๆ ทำให้ทุกอย่างดูเล็กคับแคบอึดอัดไปหมด อีกอย่างหนิงกับแม่ตั้งใจไว้ว่า อยากให้พื้นที่ชั้นล่างโล่ง ๆ เหมือนลักษณะบ้านคนไทยคือมีใต้ถุน หน้าต่างเลยเลือกใช้เป็นกระจกบานเฟี้ยมทั้งหมดค่ะ ในหน้าหนาวหรือวันไหนที่ไม่ร้อนมาก ก็จะได้เปิดหน้าต่างทั้งหมด เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวกและเพื่อความรู้สึกและมุมมอง ตามแนวคิด outside in-inside out ง่าย ๆ คือว่านั่งในบ้านก็เหมือนนั่งอยู่นอกบ้าน สัมผัสกับธรรมชาติป่าเฟิร์นได้อย่างเต็มที่ระดับ HD ค่ะ
- จากภาพประกอบจะเห็นได้ว่าพอเริ่มทำการทุบผนังบ้านในชั้นล่างที่แบ่งห้องออกเป็นห้องเล็กห้องน้อยพื้นที่คับแคบแล้ว พื้นที่ชั้นล่างกลับดูโล่งสบายตาขึ้นเยอะค่ะ และยังทำการรื้อฝ้าเพดานชั้นล่างออกทั้งหมดเพื่อเพิ่มความสูงของระยะเพดานทำให้รู้สึกไม่อึดอัด แต่ผลที่ได้เกินคาดค่ะเมื่อทำการรื้อฝ้าเพดานเก่า ๆ ออก กลับเจอโครงสร้างของพื้นไม้ชั้น 2 ที่เมื่อมองจากชั้นล่างนี้สวยเอามาก ๆ เลย
- ส่วนพื้นแต่เดิมเป็นหินขัดค่อนข้างเก่าและแตกลายงา เลยปูกระเบื้องใหม่ทับลงไปบนพื้นเดิมเลย เลือกใช้กระเบื้องแกรนิโต้ที่มีสีคล้ายหินอ่อนสีขาว เพื่อประหยัดต้นทุน แต่ความงามนี่ไม่แตกต่างเลยนะคะ และตัดขอบสักนิดด้วยกระเบื้องสีดำ
- ส่วนตัวเพดานเดิมเองเราชอบมาก ๆ เป็นเพดานที่โชว์โครงสร้างพื้นชั้น 2 ซึ่งเป็นไม้แดง ขอบอกเลยว่าสีไม้สวยและมีสภาพสมบูรณ์มาก ๆ จะมีแค่บางส่วนที่ผู้เช่าเดิมทาสีน้ำมันทับ ต้องขูดสีออกกันยกใหญ่เพราะสีเริ่มเสื่อมสภาพหลุดร่อนออกมา พอเห็นความงามแล้วแทบไม่อยากทาสีขาวทับ อยากโชว์พื้นไว้อย่างนั้นเลย แต่โดนคุณแม่ห้ามบอกว่าอย่าหลุดธีม สรุปก็เลยทาสีขาวทับค่ะ โดยใช้สีน้ำอะคริลิกกึ่งเงาสำหรับทาไม้โดยเฉพาะ
- โดยชั้นล่างปรับเป็นพื้นที่เคาน์เตอร์และพื้นที่นั่งแขกเกือบเต็มพื้นที่ บันไดตรงกลางบ้านย้ายมาติดผนังและรื้อห้องน้ำชั้น 1 ออกเพื่อเพิ่มพื้นที่ขาย เว้นส่วนหนึ่งไว้เป็นห้องทำเบเกอรี่ ต่อเติมหลังคายื่นด้านข้างบ้านเล็กน้อยไว้เป็นพื้นที่อบขนม ส่วนพื้นที่โล่งหลังบ้านหนิงสร้างเป็นห้องครัวและห้องเก็บของต่อเติมออกมาจากบ้านเดิม
- ป.ล. ภาพซ้ายมืออยากให้ทุกคนเห็นบันไดสวยมาก ๆ เลยค่ะ ทั้งในเรื่องของโครงสร้างและสัดส่วน ลักษณะบันไดคล้ายปีกเครื่องบินที่ยึดกับไม้คานตรงกลางแล้วยื่นออกไป 2 ข้าง คนสมัยก่อนนี่เก่งจริง ๆ
- สำหรับตัวห้องน้ำด้านหลัง ติดตั้งกระเบื้องและสุขภัณฑ์ใหม่ทั้งหมดแทนของเก่าที่ทรุดโทรมและชำรุด
จุดประสงค์ของการเขียนกระทู้นี้ขึ้นมาคืออยากให้ทุกคนที่มีความคิดว่าอยากจะรีโนเวทบ้านเก่าได้อ่าน ขอออกตัวก่อนเลยนะคะว่าหนิงเป็นสถาปนิกจบใหม่สด ๆ ร้อน ๆ จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพิ่งรับปริญญาไปเมื่อต้นปี 2558 แบบที่เขาเรียกกันว่า “บัณฑิตป้ายแดง” ประสบการณ์การทำงานจริงด้านออกแบบไม่มี เคยก็แต่ทำโปรเจคท์ของมหาลัยกับออกค่ายสร้างบ้านเป็นครั้งคราว ยังไม่เคยจับโปรเจคไหนมาก่อน แต่วันนี้หนิงอยากจะมารีวิวโปรเจคท์แรกที่สร้างขึ้นจริง เรียกได้ว่าทุ่มสุดตัวเลยกับโปรเจคท์นี้ เพราะเป็นโปรเจคท์รีโนเวทบ้านเก่าอายุ 44 ปีของคุณยายให้เป็นร้านกาแฟสวยในฝันของหนิงและแม่
ทั้งนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อการค้าหรือโปรโมทร้านแต่อย่างใด จึงขอโฟกัสไปที่เรื่องของการรีโนเวทบ้าน เพราะอยากเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่มีบ้านเก่าแล้วกำลังคิดจะรื้อทิ้ง ให้เห็นว่าบ้านทุกบ้านมีคุณค่าซ่อนอยู่ เป็นคุณค่าของความทรงจำเพียงแค่เรานำเอาบ้านนั้นมาปัดฝุ่นนิดหน่อย บ้านหลังเก่าก็จะกลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง
สำหรับโปรเจคท์นี้ใช้เวลาตั้งแต่คิดคอนเซ็ปต์ดึง รื้อ ทุบ เคาะส่วนที่ไม่ใช้ ก่อสร้างต่อเติมใหม่ ตกแต่งภายใน ทำสวนรวม 6 เดือน โดยหนิงคุมงานก่อสร้างเองทั้งหมด ผู้รับเหมาก็เป็นรุ่นน้องของคุณแม่ที่รู้จักกันพร้อมคนงานประมาณ 6 คน (นับรวมตัวเองลงไปในนี้แล้วนะคะ 555+)
มาพูดถึงประวัติตัวบ้านก่อนนะคะ บ้านไม้หลังนี้เป็นบ้านไม้ 2 ชั้นตั้งอยู่ในเขตคูเมืองเชียงใหม่ ตรงถนนเส้นที่ตัดผ่านหน้าวัดพระสิงห์พอดิบพอดี (ตลกตรงที่ช่างไม้แงะผนังไม้ออกมา แล้วเจอกระดาษที่ช่างสมัยก่อนเขาเอาหนังสือพิมพ์ยัดตรงกลางผนังเขียนระบุไว้ว่าปี พ.ศ. 2514 ทำให้รู้ว่าบ้านหลังนี้สร้างมาเมื่อ 44 ปีที่แล้ว)
บ้านหลังนี้คุณยายของหนิงซื้อต่อจากนายธนาคารคนหนึ่งไว้เมื่อ 30 ปี ซึ่งเป็นเวลาพอดิบพอดีกับที่คุณยายซึ่งพื้นเพเป็นคนน่านต้องการจะส่งลูก ๆ มาเรียนที่เชียงใหม่ คุณแม่เล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนตอนที่เรียนโรงเรียนประถมคุณแม่กับน้าก็พักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้แหละคะ ก่อนที่จะย้ายไปอยู่โรงเรียนประจำ พอไม่มีคนอยู่เลยเป็นบ้านเช่าสำหรับพนักงานเกือบ 10 ปี ต่อมาเมื่อคนงานย้ายออกก็ให้เช่าทำเป็นร้านอาหารต่ออีกกว่า 20 ปี ซึ่งทางร้านได้ปรับพื้นที่สนามหน้าบ้านเป็นลานซีเมนต์ไว้ขายทั้งหมด ส่วนตัวบ้านเองก็ใช้เป็นที่อยู่อาศัยจนเขาได้ย้ายออกไปเมื่อปลายปี พ.ศ. 2556 หนิงกับคุณแม่เลยคิดว่า "เอาหล่ะได้เวลาอันสมควรแล้ว ที่จะย้ายร้านเดิมในซอยออกมาที่ตรงบริเวณนี้"
- เอาล่ะค่ะมาพูดถึงลักษณะโดยรวมของตัวบ้านเก่ากันหน่อยดีกว่า หนิงขอแบ่งเป็น 3 ส่วนนะคะ
ส่วนที่ 1 ลานซีเมนต์หน้าบ้าน
เป็นลานโล่งเทพื้นซีเมนต์ตลอดลานร้อนสุด ๆ ไปเลย โดยเฉพาะในเดือนเมษายนไปยืนกลางลานนี่เรียกได้ว่าสุกเกรียมกันทีเดียวค่ะ พื้นที่ลานทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสประมาณ 100 ตารางเมตร กลางลานมีต้นปาล์มขนาดใหญ่ 3 ต้นสูงชะลูดเชียว (น่ากลัวตรงที่จะหักลงมาเมื่อไรก็ไม่รู้นี่แหละค่ะ) และบริเวณใกล้ตัวบ้านก็ยังมีต้นมะม่วงขนาดใหญ่อีก 1 ต้น นอกนั้นไม่มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกได้ว่าพืชพันธุ์ใดใด จุดนี้คุยกับคุณแม่ว่าอยากจะร้องไห้มากเพราะมันหมายถึงว่าเราต้องทำการปลูกต้นไม้ใหม่เกือบทั้งหมดลงในพื้นที่
ส่วนที่ 2 ตัวบ้าน
สำหรับตัวบ้านเป็นบ้าน 2 ชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้ หลังคาจั่ว ทรงบ้านโมเดิร์นตามสมัยนิยมเมื่อ 40 ปีก่อน ไม่แน่ชัดว่าใครออกแบบนะคะ ผังบ้านสี่เหลี่ยมผืนผ้าธรรมดา ๆ ตัวบ้านหันหน้าเข้าทิศตะวันตก มีบันไดอยู่กลางบ้าน โครงสร้างชั้นล่างเป็นคอนกรีตทั้งหมด มีการกั้นห้องเป็นส่วน ๆ ตามการใช้งานของผู้เช่า ส่วนชั้น 2 เป็นไม้ทั้งหมดตั้งแต่คาน พื้น ไปจนถึงการแบ่งกั้นห้องด้วยผนังไม้ หลังบ้านเป็นห้องน้ำสำหรับแขกซึ่งร้านอีสานต่อเติมภายหลังการเช่า
ส่วนที่ 3 ลานจอดรถ
ลานจอดรถอยู่ทางทิศเหนือของตัวบ้าน ปูอิฐตัวหนอนเต็มลาน ซึ่งก่อนการปรับปรุงคุณแม่ใช้เป็นที่เก็บของเก่า โดยเฉพาะกระเบื้องดินขอที่ถอดมาจากบ้านหลังเดิมในซอยแต่ไม่ยอมทิ้ง เพราะบอกว่ายิ่งเก่ายิ่งสวย (พวกโบราณนิยมก็แบบนี้แหละคะเก็บทุกอย่าง 555) เลยกลายเป็นกองกระเบื้องกองมโหฬารข้างบ้าน
หลังจากสำรวจพื้นที่กันแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการแปลงโฉมบ้านที่ทุกคนรอคอยกันค่ะ
ขั้นที่ 1 เลือกคอนเซ็ปต์หรือเรียกง่าย ๆ ชาวบ้าน ๆ ว่ารูปแบบแนวทางของร้านนี่แหละค่ะว่าจะให้เป็นไปในสไตล์ไหน เนื่องจากร้านเก่าก่อนที่จะย้ายมาที่นี่มีคอนเซ็ปต์ที่ค่อนข้างที่จะชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นร้านกาแฟในสวนเฟิร์น หนิงกับคุณแม่เลยคิดว่าถ้าต้องย้ายมาสร้างใหม่ก็ไม่อยากให้หลุดจากคอนเซ็ปต์เดิม ซึ่งโชคดีตรงที่ได้อาจารย์จัดสวนท่านเดิมที่เคยจัดให้ร้านแรกเมื่อ 12 ปีก่อนมาจัดให้ (พูดแล้วก็ถือโอกาสขอบคุณ อาจารย์เฉลิมเกียรติ นักจัดสวนผลงานระดับประเทศมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ สำหรับการเนรมิตป่าเฟิร์นกลางเมืองขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง)
ในขั้นต้นเราได้ทำการพิจารณาเลือกอยู่ 2 แบบ โดยหนิงได้โพสต์ภาพลงในเฟซบุ๊กและถามความคิดเห็นของเพื่อน ๆ รวมถึงที่ร้านเก่าเอง เวลามีลูกค้ามา ก็จะเอาภาพ 2 ภาพไปเปรียบเทียบให้ลูกค้าคอมเม้นท์
- แบบที่ 1 : เน้นไปที่การโชว์วัสดุเเละโครงสร้างของอาคารเดิม โดยมีการใช้เหล็กและปูนเปลือยเข้าเสริมบางส่วนเพื่อให้เข้ากับสไตล์ลอฟท์ตามสมัยนิยม เน้นการใช้กระจกเพื่อการเปิดมุมมองสู่สวนภายนอก ตกแต่งสไตล์เรียบง่าย
สรุปว่าได้แบบที่ 2 ค่ะ โดยใช้โทนสีขาวเป็นหลักและตั้งใจไว้ว่าจะตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์เก่าของสะสมของคุณแม่และเครื่องลายคราม ปลูกต้นไม้ในอาคารให้สบายตา เน้นไปที่ความโปร่งโล่งสบายให้คนเข้ามารู้สึกถึงความหรูหรา แต่ในขณะเดียวกันก็อบอุ่นเสมือนอยู่บ้าน พูดมาถึงตรงนี้ภาพนิมิตเริ่มมา ฮ่า ๆ ๆ แต่กระซิบบอกก่อนว่ากว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ก็หลงทางไปนานเหมือนกันคะ โดยหนิงกับแม่กำหนดไว้ว่าจะต้องเปิดร้านให้ทันสิ้นปี 2557 อันที่จริงแล้วตั้งใจไว้ว่าจะเปิดเดือนสิงหาคม แล้วก็เลื่อนมาเรื่อย ๆ จากสิงหาคม กันยายน ตุลาคม พฤศจิกายน มาเสร็จจริง ๆ ตอนเดือนธันวาคม อย่างนี้สินะคะที่เขาเรียกกันว่าบ้าน (ตัดไม้โทออก) กลายเป็น “บาน” บานทั้งเวลาทั้งเงินเลยค่ะ พูดแล้วน้ำตาจะไหล T^T
สำหรับชั้นล่างเริ่มจาก รื้อ ทุบ ทำลายเลยค่ะเพราะผนังเยอะมาก กั้นเป็นห้องย่อย ๆ ทำให้ทุกอย่างดูเล็กคับแคบอึดอัดไปหมด อีกอย่างหนิงกับแม่ตั้งใจไว้ว่า อยากให้พื้นที่ชั้นล่างโล่ง ๆ เหมือนลักษณะบ้านคนไทยคือมีใต้ถุน หน้าต่างเลยเลือกใช้เป็นกระจกบานเฟี้ยมทั้งหมดค่ะ ในหน้าหนาวหรือวันไหนที่ไม่ร้อนมาก ก็จะได้เปิดหน้าต่างทั้งหมด เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวกและเพื่อความรู้สึกและมุมมอง ตามแนวคิด outside in-inside out ง่าย ๆ คือว่านั่งในบ้านก็เหมือนนั่งอยู่นอกบ้าน สัมผัสกับธรรมชาติป่าเฟิร์นได้อย่างเต็มที่ระดับ HD ค่ะ
- จากภาพประกอบจะเห็นได้ว่าพอเริ่มทำการทุบผนังบ้านในชั้นล่างที่แบ่งห้องออกเป็นห้องเล็กห้องน้อยพื้นที่คับแคบแล้ว พื้นที่ชั้นล่างกลับดูโล่งสบายตาขึ้นเยอะค่ะ และยังทำการรื้อฝ้าเพดานชั้นล่างออกทั้งหมดเพื่อเพิ่มความสูงของระยะเพดานทำให้รู้สึกไม่อึดอัด แต่ผลที่ได้เกินคาดค่ะเมื่อทำการรื้อฝ้าเพดานเก่า ๆ ออก กลับเจอโครงสร้างของพื้นไม้ชั้น 2 ที่เมื่อมองจากชั้นล่างนี้สวยเอามาก ๆ เลย
- ส่วนพื้นแต่เดิมเป็นหินขัดค่อนข้างเก่าและแตกลายงา เลยปูกระเบื้องใหม่ทับลงไปบนพื้นเดิมเลย เลือกใช้กระเบื้องแกรนิโต้ที่มีสีคล้ายหินอ่อนสีขาว เพื่อประหยัดต้นทุน แต่ความงามนี่ไม่แตกต่างเลยนะคะ และตัดขอบสักนิดด้วยกระเบื้องสีดำ
- ส่วนตัวเพดานเดิมเองเราชอบมาก ๆ เป็นเพดานที่โชว์โครงสร้างพื้นชั้น 2 ซึ่งเป็นไม้แดง ขอบอกเลยว่าสีไม้สวยและมีสภาพสมบูรณ์มาก ๆ จะมีแค่บางส่วนที่ผู้เช่าเดิมทาสีน้ำมันทับ ต้องขูดสีออกกันยกใหญ่เพราะสีเริ่มเสื่อมสภาพหลุดร่อนออกมา พอเห็นความงามแล้วแทบไม่อยากทาสีขาวทับ อยากโชว์พื้นไว้อย่างนั้นเลย แต่โดนคุณแม่ห้ามบอกว่าอย่าหลุดธีม สรุปก็เลยทาสีขาวทับค่ะ โดยใช้สีน้ำอะคริลิกกึ่งเงาสำหรับทาไม้โดยเฉพาะ
- โดยชั้นล่างปรับเป็นพื้นที่เคาน์เตอร์และพื้นที่นั่งแขกเกือบเต็มพื้นที่ บันไดตรงกลางบ้านย้ายมาติดผนังและรื้อห้องน้ำชั้น 1 ออกเพื่อเพิ่มพื้นที่ขาย เว้นส่วนหนึ่งไว้เป็นห้องทำเบเกอรี่ ต่อเติมหลังคายื่นด้านข้างบ้านเล็กน้อยไว้เป็นพื้นที่อบขนม ส่วนพื้นที่โล่งหลังบ้านหนิงสร้างเป็นห้องครัวและห้องเก็บของต่อเติมออกมาจากบ้านเดิม
- สำหรับตัวห้องน้ำด้านหลัง ติดตั้งกระเบื้องและสุขภัณฑ์ใหม่ทั้งหมดแทนของเก่าที่ทรุดโทรมและชำรุด
ป.ล. สายไฟและท่อประปาในบ้านเราให้ช่างเดินใหม่ทั้งหมดเลยนะคะ เพื่อให้เหมาะสมกับฟังก์ชั่นการใช้งานใหม่
- สำหรับชั้นบน หนิงแบ่งเป็นพื้นที่ร้านและพื้นที่อยู่อาศัยค่ะ โดยครึ่งหน้าของบ้านปรับปรุงให้เป็นลักษณะของโถงขนาดใหญ่ใช้เป็นพื้นที่นั่งของแขก ส่วนด้านบนนี้ตั้งโต๊ะได้ทั้งหมดประมาณ 6 โต๊ะแบบสบาย ๆ แต่วันไหนที่ต้องการมีการจัดประชุม สัมมนา หรืองานเลี้ยงส่วนตัวก็สามารถโยกย้ายโต๊ะได้ค่ะ
- ภาพก่อนการรีโนเวทจะเห็นได้ว่าบริเวณชั้น 2 มืดเอามาก ๆ เพราะมีการกั้นห้องแบบคับแคบและการใช้สีภายในทำให้ดูหม่น ๆ อีกทั้งบานหน้าต่างสั้น ๆ ทำให้แสงสว่างส่องผ่านเข้าได้น้อยมาก ๆ
- ภาพนี้เป็นสำหรับครึ่งหลังของชั้น 2 โดยกั้นเป็นห้องพักอาศัยจำนวน 2 ห้องมีห้องอาบน้ำคั่นตรงกลาง (โดยใช้ห้องอาบน้ำร่วมกัน) ห้องหนึ่งมีห้องลับเล็ก ๆ ยื่นออกข้าง ๆ ตัวบ้านใช้เป็นห้องทำงานและเก็บเอกสาร ส่วนอีกห้องมีการต่อเติมระเบียงสำหรับนั่งเล่น โดยใช้โครงสร้างไม้ยึดต่อเติมจากโครงสร้างเดิม
- ป.ล. หลังคาเปลี่ยนวัสดุมุงใหม่หมดเลยจากเดิมเป็นกระเบื้องลอน แต่ด้วยความผุพัง น้ำฝนรั่วเยอะมาก ๆ เลยเปลี่ยนมาใช้เมทัลชีททั้งหมด รวมเวลางานโครงสร้างและงานต่อเติมภายนอกและภายในที่ไม่เกี่ยวกับงานตกแต่งใช้เวลาร่วม 5 เดือนค่ะ
- ภาพนี้เป็นมุมมองจากด้านที่จอดรถค่ะ
- ที่นี้ก็มาถึงส่วนที่หลายคนรอคอยและหนิงเองก็รอคอยค่ะ ตามสไตล์ผู้หญิงมักชอบการตกแต่งและการใส่รายละเอียด บ้านจะเสร็จสมบูรณ์ได้อย่างไรหากไร้ซึ่งการตกแต่งภายในบ้านหรือที่เราเรียกกันว่า "อินทีเรีย" นั่นเอง
- ตัวบ้านจะเห็นได้ว่าแทบไม่มีส่วนเฟอร์นิเจอร์บิวท์อินเลยนะคะ เกือบทั้งหมดเรียกได้ว่าเป็นเฟอร์นิเจอร์ลอยตัว ซึ่งหนิงเน้นในเรื่องของการปรับเปลี่ยนพื้นที่ค่ะ ทั้งโต๊ะ เก้าอี้ และตู้ต่าง ๆ สามารถเคลื่อนย้ายสลับไปมาได้หมด เน้นใช้ของเก่า ของสะสม ของบางอย่างที่คิดว่าไม่น่าจะใช้ได้ก็เอากลับมาซ่อมแซม ขัดสีฉวีวรรณให้เรียบร้อย เช่น ชุดโซฟาตัวนี้ได้มาจากยายค่ะ เอาไปซ่อมหวายและทาสีทับจนดูใหม่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
- สำหรับชั้นล่างยังคงเน้นในเรื่องดีเทลของประดับตกแต่งชิ้นเล็กชิ้นน้อย เช่น ถ้วยจานเครื่องลายคราม เครื่องแก้ว หนังสือขนมอาหาร (ของสะสมส่วนตัวของหนิง) โคมไฟ และหมอนอิง
- ภาพนี้เป็นของสะสม Blue & White ที่น้าน้อยให้หนิงตอนที่รู้ว่าจะเปิดร้านต้องขอขอบคุณมา ณ ที่นี้เลยนะคะ ^^ ขอบอกว่าถูกใจหนิงกับแม่มาก ๆ ๆ ><
- มาถึงเครื่องประดับที่ไม่เพียงความสวยแต่ยังให้เสียงเพลงเพราะได้อีกด้วยคือ เปียโน Yamaha รุ่นคุณแม่ ชอบตรงที่พอมีเปียโนตัวนี้วางเข้าไป ร้านนี้ก็ดูอบอุ่นและให้ความรู้สึกเป็นบ้านขึ้นมาทันทีค่ะ ที่สำคัญมักจะมีลูกค้าหมุนเวียนมาเล่นเป็นประจำด้วย
- เฟอร์นิเจอร์เน้นเป็นหวายสีขาวให้ความรู้สึกเบาสบาย ตัดกับหมอนอิงสีน้ำเงินเข้ม navy blue ทำให้ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็เข้ามานั่งในร้านได้อย่างไม่เก้อเขิน ตามมุมและขอบอาคารภายในจะมีการปลูกต้นไม้สีเขียวในกระถาง ช่วยสร้างความรู้สึกผ่อนคลายและสบายตา
- ส่วนเคาน์เตอร์ดีไซน์เองค่ะตามฟังก์ชั่นการใช้งาน ลักษณะเป็นตัวแอลให้ล้อมไปกับลักษณะของหน้าต่างค่ะ
- แสงไฟภายในร้านเน้นใช้แสงสว่างจากโคมไฟโบราณ ทั้งแบบห้อย แบบตั้งโต๊ะ และใช้ไฟสีวอร์มไวท์ให้ความรู้สึกอบอุ่น
- ส่วนชั้น 2 ด้วยความที่เป็นโถงขนาดใหญ่และพื้นที่ดูค่อนข้างจะโอ่โถ่งกว่าชั้นแรกเพราะเพดานสูง หนิงเลยเลือกติดโคมไฟระย้าไว้กลางห้อง ซึ่งช่างไฟบ่นอุบว่าติดยากมากเพราะเพดานสูง ส่วนด้านล่างวางโต๊ะกลมไว้เพื่อวางต้นไม้ กั้นพื้นที่ออกเป็นฝั่งซ้ายและขวาเพื่อความเป็นส่วนตัวมากขึ้นค่ะ
เรามาหยุดส่วนของบ้านแล้วมาพูดถึงสวนกันบ้างนะคะ เชื่อว่าหลาย ๆ คนก็รอให้พูดถึงสวนอยู่เหมือนกัน เพราะเมื่อมีบ้านก็ต้องมีสวนเหมือนทรายกับทะเลที่ขาดจากกันไม่ได้ ฮิ้วว...
เริ่มจากทุบพื้นซีเมนต์ออกทั้งหมด เพราะส่วนหนึ่งจะขุดเดินท่อระบายน้ำออกหน้าบ้าน อีกส่วนเพื่อการปรับระดับดินสำหรับปูศิลาแลง ที่เหลือรอบ ๆ ทิ้งไว้เป็นที่โล่งสำหรับปลูกต้นไม้ ส่วนที่ยากที่สุดก็คือสวนนี้อยู่ทางทิศตะวันตกของตัวบ้านติดกับถนนใหญ่ที่รับแดดเต็ม ๆ ในตอนบ่าย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบริเวณที่เล่นเอาเหนื่อย เพราะต้องสร้างร่มเงาให้มากเพื่อการปลูกเฟิร์น รวมถึงตัดต้นปาล์มกลางลานออก หลายคนคงคิดว่าเสียดายทำไมต้องตัดต้นไม้ทิ้ง เพราะใบแห้งคาต้นเยอะมาก ถ้าอีกหน่อยตกลงมาใส่ลูกค้าที่นั่งอยู่ในสวนคงไม่ดีแน่ เพราะฉะนั้นเรื่องความปลอดภัยต้องมาก่อน ตอนแรกคิดกับคุณแม่ว่าจะยกให้คนที่อยากได้ แต่ติดเรื่องการล้อมและการขนส่งเลยตัดสินใจเอาลง
- จากนั้นก็ถึงช่วงเวลาของการลงต้นไม้ใหญ่ คุณแม่เลือกต้นไม้ที่คิดว่ามีใบหนา ทนแดด และใบไม่ร่วง เพราะตัวต้นไม้ใหญ่นี้เองจะเป็นร่มเงาให้กับเฟิร์นที่อยู่ด้านล่างไม่ให้โดนแสงแดดที่จัดมากเกินไป ได้แก่ ต้นจิกน้ำ ต้นแคนา ต้นวาสนา ต้นเกาลัด เป็นต้น โดยเอาต้นไม้ใหญ่ลงก่อนเลยค่ะ ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายเพราะลงต้นไม้หน้าฝนพอดี ตกแรกก็ลุ้น ๆ เห็นหลายต้นทำท่าจะตาย แต่สุดท้ายก็รอดค่ะ ^^ ภาพนี้คนสวนกำลังช่วยกันเอาต้นวาสนา (ยักษ์) ขึ้นปลูกบริเวณริมรั้วที่ติดกับตึกในที่ดินฝั่งตรงข้าม สาเหตุที่หนิงและคุณแม่เลือกใช้ต้นวาสนาเพราะมีความสูงที่พอเหมาะ มีใบเขียว หนาทึบ ปลูกง่าย เหมาะสำหรับบการทำเป็นต้นไม้แบ็คกราวนด์ได้ดี
- จากนั้นก็เริ่มทำน้ำตกโดยได้อาจารย์เฉลิมเกียรติเป็นผู้วางหินและไม้ตกแต่งให้ คอนเซ็ปต์ของการวางแนวน้ำตกคืออยากให้ทุกคนมองเห็นแบบพาโนรามา ที่นั่งในสวนทุกที่นั่งจะต้องสามารถมองเห็นน้ำตกได้ โดยลักษณะเป็นนน้ำตกแบบ 3 ขั้นบันไดใช้หินกาบทองในการตกแต่ง แทรกบางส่วนด้วยกิ่งไม้เก่าและต้นเฟิร์นเพื่อสร้างความสมจริงค่ะ
- อันนี้เป็นภาพโครงสร้างของบ่อปลาก่อนการฉาบปูนค่ะ มีการทำบ่อกรองบริเวณข้าง ๆ บ่อปลา โดยความลึกของบ่ออยู่ที่ 65 เซนติเมตร
- จากภาพเป็นขั้นตอนของการปูศิลาแลงใช้เวลาทั้งสิ้น 4 วันถ้วน เรียกว่างานเร่งทำโอทียันดึกยันดื่น ตอนแรกว่าจะทำทางเดินเป็นแนว แต่คิดไปคิดมาปูศิลาแลงทั้งหมดเลยดีกว่า เพราะถ้ามีการจัดงานเลี้ยงหรือปรับเปลี่ยนการใช้งานพื้นที่การวางโต๊ะจะได้ทำได้ง่าย
- เริ่มลงต้นไม้ระดับกลาง ไม้คลุมดิน และเน้นเฟิร์นเป็นหลักค่ะ
- ส่วนเจ๊กระเป๋าส้มนี้แม่หนิงเองคุมงานเองทุกขั้นตอน เรื่องสวนต้องยกให้นาง นางรักต้นไม้ยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ ในโลกนี้ พอพูดถึงตรงนี้อยากเล่าถึงเบื้องหลังความงามของสวนสวยของที่ร้านค่ะ ท่านผู้อ่านเชื่อหรือไม่คะว่าที่ร้านไม่มีคนสวนประจำร้านเลย ถ้าจะมีก็มีแต่คุณแม่นี่เเหละค่ะที่ตื่นมารดน้ำเช้า-เย็นทุกวันไม่มีขาด นางบอกว่าการรดน้ำเป็นการทำสมาธิและแม่มีความสุขถ้าได้เห็นต้นไม้สวยขึ้นในทุก ๆ วัน
- ภาพนี้เป็นทีมงานคุณภาพ คุมงานโดยอาจารย์เฉลิมเกียรติ นักออกแบบสวนแห่งนี้ค่ะ
- ส่วนรั้วด้านหน้าปลูกไทรเกาหลียาวตลอดแนวค่ะ โดยใช้รั้วเหล็กเดิมเพียงทาสีใหม่ทับ
- ต้นมะม่วง พระเอกของร้านเลยค่ะ ตกแต่งโดยเอาเฟิร์นไปห้อยติดไว้ทั้งกระเช้าสีดาและสไบนางดูเขียวชอุ่มเชียว แต่เมื่อมีพระเอกก็จะขาดนางเอกไปไม่ได้ นั่นก็คือ "สวนเฟิร์นแนวตั้ง" บริเวณด้านข้างตัวบ้าน ส่วนนี้ต้องให้เครดิตน้องชาย เพราะเป็นคนไปหาข้อมูลวิธีการปลูกมาให้ โดยน้องแนะนำว่าใช้ท่อเหล็กเก่ากับเหล็กกล่องยึดกับแนวเสารั้วเดิม ทำเป็นโครงสร้างสำหรับห้อยต้นเฟิร์น ส่วนสวนแนวตั้งนี้ลงมือปลูกเองทั้งหมดเล่นเอาเหนื่อยเหมือนกันค่ะ
- โดยแนวคิดในการเรียงต้นไม้คือ การสุ่มหรือภาษาบ้าน ๆ คือมั่วค่ะ แม่บอกว่าให้เรียงสลับ ๆ กันดูตามความเหมาะสม หนิงก็จัดตามสิคะและผลที่ได้คือ
- ภาพนี้คือสวนแนวตั้งที่เสร็จแล้ว ภูมิใจนำเสนอสุด ๆ อิอิ
- บริเวณขอบด้านล่างปูหินกรวดสีดำเพื่อความสวยงาม โดยทับบนตะแกรงไว้เพราะด้านล่างเป็นท่อระบายน้ำ เนื่องจากเวลารดน้ำสวนเเนวตั้งจะมีน้ำไหลลงมาจำนวนมากจึงต้องทำท่อระบายน้ำไว้ด้านล่างค่ะ
- สำหรับบริเวณทางเดินด้านข้างที่ติดกับตัวบ้าน หนิงเลือกใช้หินแม่น้ำเรียงลายสลับสีไปมาช่วยกันอยู่กับช่าง 2-3 คน สวยงามไปอีกแบบ เห็นพื้นที่ไม่เยอะแบบนี้ก็กินเวลาไป 5 วันเลยนะคะ
- ส่วนในสวนวางชุดโต๊ะเก้าอี้ไว้เป็นกลุ่ม ๆ ตามแนวร่มไม้ค่ะ ณ จุดจุดนี้ร่มสำคัญมากนะคะ เพราะตอนบ่ายแดดร้อนเอาเรื่อง หมอนกะเหรี่ยงที่คุณแม่ตัดเย็บเองทุกใบ พอมาวางในสวนทำให้สวนดูมีชีวิตชีวาขึ้นมากเลยค่ะ
- และอีกส่วนที่ภูมิใจนำเสนอคือบ่อปลาคาร์พของน้องชายสุดหล่อค่ะ อยู่บริเวณหน้าบ้านพอดี คือถ้าใครจะเดินผ่านเข้าบ้านก็ต้องข้ามผ่านสะพานเล็ก ๆ นี้ไปก่อน ตรงนี้เป็นจุดที่ดึงดูดความสนใจของเด็ก ๆ ได้มากเลยนะคะ จำได้ว่าเคยมีเด็กกระโดดลงสระไปว่ายน้ำเล่นกับปลา โชคดีที่ระดับน้ำไม่สูงมาก เล่นเอาปวดหัวกันเลยทีเดียว และความสามารถพิเศษของน้องชายคือ การดึงดูดปลาทุกตัวในสระให้มาหาอย่างรวดเร็ว
- ภาพนี้น้องชายกำลังลงต้นไม้บริเวณรอบ ๆ บ่อปลา โดยมีคุณแม่เล่นไอแพดเป็นกำลังใจ 555+
- เป็นอันสิ้นสุดการรีวิวเพียงเท่านี้ ขอขอบคุณทุก ๆ คอมเม้นท์นะคะ หนิงอ่านแล้วทุกอันเลยรู้สึกมีกำลังใจและดีใจมาก ๆ ที่ทุกคนชื่นชอบผลงานการออกแบบชิ้นแรกนี้นะคะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่กำลังคิดที่จะรีโนเวทบ้านค่ะ ^^