ขอออกตัวก่อนครับว่านี่เป็นกระทู้แรกของผมเลยครับ โดยประสบการณ์ที่ผมจะมาแชร์ให้เพื่อน ๆ ได้ชมก็คือการแต่งห้องนอนบ้านตึกแถวด้วยตัวของผมเองครับ โดยจะพยายามเล่าเป็นลำดับ ๆ พร้อมรูปประกอบนะครับ ถ้าผิดพลาดยังไงขอให้ช่วยแนะนำด้วยครับ
เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า บ้านผมเป็นตึกแถวย่านเยาวราชครับ ซึ่งข้อดีของย่านนี้ก็คือเดินทางสะดวก (โดยรถประจำทาง) แต่ข้อเสียก็คือพื้นที่บ้านคับแคบและโดยเฉพาะอย่างยิ่งการอยู่อาศัยกันทั้งครอบครัว ด้วยการจัดสรรพื้นที่ใช้สอยยิ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งครับ สำหรับห้องนอนของผมเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดประมาณ 4x4 เมตร ไม่มีหน้าต่างครับ ! มีประตูเข้าห้องนอน แล้วก็ประตูหนีไฟที่จะเปิดออกไปข้างนอกเลย ส่วนห้องน้ำต้องเดินออกจากห้องนอนไปครับ เดิมทีเดียวผมไม่ได้ตกแต่งอะไรเลย เพราะไม่ได้อยู่ประจำที่นี่ เรียกได้ว่าเดินเข้าห้องมามีฟูก หมอน และราวแขวนเสื้อนิดหน่อย แค่นั้นจริง ๆ ครับ (ก็มันมีไว้นอนแค่นั้นนี่หน่า)
- ลองดูภาพห้องจะเป็นประมาณนี้
- หลังจากนั้นก็มีช่วงหนึ่ง อินเด็กซ์ที่ห้างมาบุญครอง เซ็นเตอร์ เอาเฟอร์นิเจอร์มาลดราคาแบบถูกสุด ๆ เนื่องจากจะย้ายออกจากห้างแล้ว ผมก็ไปสอยโต๊ะเขียนหนังสือกับชั้นวางหนังสือมาเพิ่ม โต๊ะเขียนหนังสือตัวนี้เป็นตัวโชว์ครับ จำได้ว่าซื้อมาประมาณ 1,500 บาทเอง ถูกมาก
- ชั้นนี้ก็ซื้อมาตอนลดราคาเหมือนกัน 693 บาทเองครับ
- พอซื้อมาแล้วก็เลยไปล้างรูปถ่ายรับปริญญาตัวเองมาติดตกแต่ง (ตอนนั้นเพิ่งเรียนจบพอดี กำลังเห่อชุดครุย ฮ่า ๆ) แล้วก็ซื้อเก้าอี้ทำงานเพิ่มเพื่อมาใช้กับโต๊ะตัวนี้ แล้วลืมบอกไปว่าโคมไฟสีน้ำเงินที่ตั้งบนโต๊ะหนังสือนั้น ก็ซื้อที่อินเด็กซ์ตอนลดราคาเหมือนกัน อิอิ ก็อยู่แห้ง ๆ แบบนั้นเรื่อยมาตลอดเลยครับ
ทีนี้มาถึงจุดเปลี่ยนครับ เรื่องมีอยู่ว่าผมเรียนจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดังย่านรังสิตและจะต้องกลับมาอยู่ในเมืองแบบถาวรเพื่อทำงาน ประกอบกับในช่วงนั้นญาติผมคนหนึ่งกำลังจะซื้อคอนโดครับ ผมจึงได้ไปดูคอนโดทั่วกรุงเทพฯ เลย ตรงนี้เองครับก็เลยทำให้ผมอยากแต่งห้องนอนขึ้นมาครับ (จริง ๆ อยากได้คอนโด ฮ่า ๆ) ก็เลยถ่ายรูปการแต่งคอนโดจากห้องตัวอย่างต่าง ๆ มา แล้วก็หาแรงบันดาลใจ จากเว็บไซต์ Pinterest แล้วก็พวกตัวอย่างห้องตามร้านเฟอร์นิเจอร์ อย่างเช่น เอสบี อินเด็กซ์ และอิเกียครับ โดยมีหลักอยู่ว่า
1. การแต่งห้องนี้ต้องทำด้วยตัวเองและรบกวนคนอื่นให้น้อยที่สุด ที่บ้านมีแม่กับพี่สาวอยู่ประจำอยู่แล้ว จึงไม่สะดวกที่จะให้ช่างเข้ามาวุ่นวายในบ้านเยอะหลาย ๆ วันครับ
2. การแต่งห้องนี้ต้องใช้งบประมาณไม่สูงมากนัก โดยกลยุทธ์คือใช้วิธีทยอยซื้อของมาแต่งทีละชิ้น ๆ อันไหนที่มีของเก่าอยู่แล้ว ก็จะหยิบมาใช้แล้วก็ทำให้มันกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไปครับ ดังนั้นเพื่อน ๆ ไม่ต้องคาดหวังสูงนะครับว่า มันจะออกมาว้าว ๆ เข้าชุดเหมือนห้องสตูดิโอในคอนโด อันนี้เรียกว่าแต่งกันตามมีตามเกิดกันไปเลยครับ
- โดยผมเริ่มต้นจากการทาสีก่อนเลยครับ ผมคิดเอาเองว่า ถ้าอยู่ห้องขาว ๆ ทั้งห้องแบบเดิมก็ไม่ต่างอะไรกับห้องที่ไม่ได้ตกแต่ง เลยกะจะทาสีเพื่อให้ห้องมีมิติและแบ่งสัดส่วนการใช้งานต่าง ๆ ในห้องครับ โดยสีหลักของห้องก็คือขาว เทา และน้ำเงินครับ ผมก็เลือกสีตามรูปในเว็บไซต์ Pinterest แล้วก็เอารูปไปให้ร้านสีผสมเป็นกระป๋อง แล้วก็ซื้อแปรง ลูกกลิ้ง และอุปกรณ์ทุกอย่างมาทาเองเลยครับ เริ่มจากสีเทาในผนังทั้ง 2 ด้านครับ
- ตัดด้วยสีเทาแบบครึ่งผนังครับ
- แล้วมุมที่เป็นโต๊ะทำงานเดิมก็ทาด้วยสีน้ำเงินครับ ทีนี้สีน้ำเงินเนี่ยแหละ ตัวเจ้าปัญหาเลยเพราะเมื่อลงสีไปแล้วมันไม่ติดผนังครับ (คงเพราะไม่ได้ลงรองพื้น) ต้องทาซ้ำหลายต่อหลายรอบมากจนจะได้สีน้ำเงินสนิทตามทีเห็นในภาพนี้ครับ
- กว่าจะทาสีเสร็จ เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน ใช้เวลาทาสีรวมแล้วประมาณ 3-4 วันได้ ทำ ๆ หยุด ๆ ประกอบกับลองผิดลองถูกไปด้วย ตอนนั้นย้ายตัวเองมานอนที่ห้องนั่งเล่นแทน เพราะห้องนอนเหม็นสีครับ หลังจากทาสีไปแล้วก็จะเห็นว่าห้องเริ่มเป็นสัดเป็นส่วนมากขึ้น หัวเตียงสีน้ำตาล ฟูก โต๊ะหนังสือ และชั้น ก็ถูกเลื่อนเข้ามาไว้ตามเดิมครับ เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น ทีนี้สิ่งที่เพื่อน ๆ ยังไม่เห็นก็คือราวแขวนและกองสิ่งของที่ผมนำมากองไว้ที่มุมห้องอีกฝั่งหนึ่งนะครับ (ตามภาพเลย ฮ่า ๆ) ดังนั้นโจทย์ก็คือผมต้องหาวิธีกำจัดกองสิ่งของนี้หรือไม่ก็หาตู้หาชั้นวางมาใส่ให้มันเข้าที่ครับ และทางออกของมันก็คือ…
- ตู้เสื้อผ้าครับ ผมไปตระเวนดูตู้เสื้อผ้าที่ร้านเฟอร์นิเจอร์ดัง ๆ หลายที่มาก ส่วนใหญ่จะหลัก 8 พันบาทขึ้นไปทั้งนั้น ซึ่งผมไม่อยากจะซื้อดีขนาดนั้น ก็ไปดูที่อิเกียมีตู้รุ่นหนึ่งราคาถูกมาก ประมาณ 5-6 พันบาท แต่ภายในไม่มีฟังก์ชั่นอะไรเลย เป็นไม้อัดมาตี ๆ เข้ากันเป็นตู้ ท้ายที่สุดคือผมจะขนกลับมาบ้านยังไงครับ รถก็มีแต่รถคันเล็ก คนช่วยประกอบก็ไม่มี อย่ากระนั้นเลย ผมเลยเกิดไอเดียว่าไปดูเฟอร์นิเจอร์แถวสวนมะลิดีกว่า เป็นเฟอร์นิเจอร์บ้าน ๆ ที่มีช่างมาประกอบให้เสร็จ ตรงจุดนี้เราต้องใช้เซนส์ในการเลือกนิดนึงครับ อย่างที่บอกไปแล้วว่า เฟอร์นิเจอร์บ้าน ๆ เหล่านี้ ถ้าเราดูดี ๆ จะพบแบบที่มันเหมาะกับเราและไม่ดูแก่จนเกินไปครับ ผมก็เลือกได้ตู้เสื้อผ้ามาแบบหนึ่งในราคาที่ต่อรองแล้วได้ถูกสุด ๆ ประมาณ 4,500 บาท ครับ หลังจากนั้นก็เลือกสี (ข้อดีคือบางครั้งร้านเฟอร์นิเจอร์บ้าน ๆ พวกนี้ได้เปรียบตรงที่มีคนยกมาประกอบให้ถึงที่เลย ถ้าซื้อจากร้านเฟอร์นิเจอร์ชื่อดังคงมาประกอบกันเอง ปาดเหงื่อเลยล่ะครับ) ซึ่งอย่างที่บอกแล้วครับว่าผมว่า โทนสีห้องไว้แต่แรกแล้วว่าจะใช้ 3 สี คือ ขาว เทา และน้ำเงิน ในที่นี้จึงเลือกสีขาวครับ
- หลังจากตู้มาส่งเรียบร้อยผมก็ไปเอาชั้นวางโทรทัศน์จากคอนเซ็ปต์ ที่ซื้อไว้ตั้งแต่ตอนเข้าบ้านใหม่ ๆ แต่ไม่มีใครใช้แล้ว มาประกอบเข้าเซตแล้ววางไว้ข้างตู้ครับ ก็ถือว่าเต็มห้องพอดี จัดการเก็บพวกของต่าง ๆ เข้าตู้เสื้อผ้าและลิ้นชักต่าง ๆ ก็ทำให้ห้องกว้างและเป็นระเบียบขึ้นเยอะครับ
- โจทย์ที่ผมต้องแก้ต่อไปก็คือ ประตูหนีไฟที่อยู่ตรงกับประตูทางเข้าพอดีถ้าไม่ทำอะไรเลย ก็จะดูเป็นของแปลกปลอมมาก แต่จะเอาตู้เสื้อผ้าปิดไปก็ไม่ดี เพราะถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินเราจะแย่ครับ เลยแก้ปัญหาด้วยการทำม่านขึ้นมาบังประตูแทนครับ ซึ่งทำให้ห้องที่ไม่หน้าต่างนั้นดูหลอกว่ามีหน้าต่างขึ้นมาทีเดียว แล้วความพลิ้วของผ้าก็ช่วยให้ห้องแข็ง ๆ ดูนุ่มนวลขึ้นด้วยครับ
- ขั้นตอนสุดท้ายก็คือการเลือกของมาตกแต่งห้องแล้วครับ ผมเลือกซื้อกระจกหกเหลี่ยม ราวแขวนเสื้อผ้ารูปกิ่งไม้ และของจุกจิกอีกหลายอย่างจากอิเกียมาแต่งห้องครับ สำหรับตัวกระจกนั้นทำให้ห้องดูกว้าง มีลูกเล่นขึ้นเยอะครับ ทั้งหมดนี้ก็จัดการบรรเลงเองเลยครับ ก็ค่อย ๆ แต่งเอา ประกอบกับตัวเองเป็นคนชอบอ่านหนังสือและสะสมพวกโมเดลรถ โมเดลตึก อะไรพวกนี้อยู่แล้วครับ ก็เอามาจัดวางตามจุดต่าง ๆ ครับ ส่วนที่วางหนังสือตัวบี (B) นั้น เจ้าของกระทู้เอามาตั้งโชว์สวย ๆ ครับเพราะเจ้าของกระทู้มีชื่อเล่นที่ขึ้นต้นด้วยตัวบี (B) ครับ
- ขอบอกเลยว่าตอนแต่งห้องนี้มีความสุขมาก ๆ ครับ มันเหมือนกับว่าเราค่อย ๆ ทำอะไรบางอย่างแล้วเห็นว่ามันสำเร็จขึ้นทีละน้อย ๆ นะครับ ในส่วนการตกแต่งอื่น ๆ ก็ได้ซื้อตู้ลิ้นชักมาเพิ่มบ้าง แล้วก็มีล้างพวกภาพโปสเตอร์ละครที่ทำสมัยเรียนมาเข้ากรอบแต่งห้องไว้ครับ ส่วนใบปริญญาบัตรนั้นผมเอาไปเข้ากรอบย่านท่าพระจันทร์มาเก็บไว้เลยครับ ก็เลยได้เอามาแต่งห้องร่วมด้วยครับ
- ส่วนรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะเติมเต็มให้ห้องสมบูรณ์แบบ
นั่นก็คือผ้าปูที่นอนครับ อย่างที่บอกว่าแต่ก่อนผมใช้ (ซุกหัว) นอน
อย่างเดียว เลยไม่แคร์เท่าไรว่าผ้าปูที่นอนจะเป็นสีอะไร
หลังจากแต่งห้องแล้วก็เลยซื้อผ้าปูที่นอนใหม่มาให้เป็นสีคุมโทนเดียวกับห้องครับ
และสิ่งที่มักจะลืมกันก็คือเรื่องไฟครับ ซึ่งจริง ๆ
แล้วมันมีผลต่อความรู้สึกของห้องมากครับ
แต่อย่างที่บอกว่างานแต่งห้องครั้งนี้ทำเองไม่ง้อช่างครับ
จึงใช้ไฟนีออนหลอดยาวดวงเดิมเป็นหลักครับ แต่ตอนกลางคืนจะเปิดไปไฟสีส้ม
บนโต๊ะทำงาน และหัวเตียงแทนครับ ก็ช่วยให้ห้องสวยไปอีกแบบ
และเป็นการเตรียมร่างกายเข้าสู่การพักผ่อนอย่างแท้จริงครับ
- ท้ายที่สุดนี้ผมก็ลงรูปห้องมุมต่าง ๆ ที่ถ่ายไว้นะครับ
เผื่อเป็นแรงบันดาลใจให้เพื่อน ๆ
ลุกขึ้นมารีโนเวทห้องนอนด้วยตัวเองกันบ้างครับ
หวังว่ารีวิวประสบการณ์การแต่งห้องของผมจะเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ
ทุกคนนะครับ