มีประวัติค้างชำระหนี้ กู้เงินซื้อบ้านได้ไหม จะมีธนาคารไหนปล่อยสินเชื่อให้หรือเปล่า คำถามยอดฮิตที่หลายคนสงสัย วันนี้มีคำตอบมาบอกกันแล้ว
เคยสงสัยกันไหมว่าเวลาขอสินเชื่อกู้ซื้อบ้าน ทำไมบางคนถึงกู้ผ่านได้ง่าย ๆ สบาย ๆ ต่างกับบางคนที่ไม่ว่าจะยื่นกี่แบงก์ต่อกี่แบงก์ ก็ยังไม่ผ่านสักที บ้างก็บอกว่าเพราะ "ติดเครดิตบูโร" ยังไงล่ะ ถึงได้กู้ซื้อบ้านไม่ผ่าน ซึ่งจะเป็นความจริงหรือเปล่านั้น กระปุกดอทคอม จะมาเคลียร์ข้อสงสัยเรื่องนี้ให้ทุกคนได้เข้าใจกันชัด ๆ
เครดิตบูโร คืออะไร
เริ่มแรกมารู้จัก เครดิตบูโร หรือ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด กันก่อน โดยเครดิตบูโรมีหน้าที่คอยเก็บประวัติข้อมูลธุรกรรมทางการเงิน ด้านสินเชื่อของเรา ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ทั้งประวัติที่ดีและไม่ดีไว้ทั้งหมด เพื่อเป็นข้อมูลให้ธนาคารมาตรวจสอบพฤติกรรมการใช้เงินของผู้ขอกู้ สำหรับพิจารณาปล่อยสินเชื่อนั่นเอง
10 : ปกติ หมายความว่า บัญชีนี้มีการชำระสินเชื่อตามปกติ จ่ายครบ จ่ายตรงตามเงื่อนไข ไม่มียอดค้างชำระหรือค้างชำระไม่เกิน 30 วัน
11 : ปิดบัญชี หมายความว่า สินเชื่อบัญชีนี้ได้มีการปิดบัญชีเรียบร้อยแล้ว ไม่มีหนี้ค้าง
12 : พักชำระหนี้ ตามนโยบายรัฐ หมายความว่า ที่ผ่านมาเคยมียอดค้างชำระ แต่ตอนนี้เข้าโครงการพักชำระหนี้ตามนโยบายรัฐ จึงทำให้สถานะไม่เป็นการค้างชำระ
20 : หนี้ค้างชำระเกิน 90 วัน หมายความว่า เคยค้างชำระในอดีต และปัจจุบันก็ยังค้างอยู่ ซึ่งเป็นสถานะที่เป็นผลลบต่อตัวผู้เป็นลูกหนี้เจ้าของบัญชีนี้
อย่างที่บอกไปคือ เครดิตบูโร มีหน้าที่เป็นตัวกลางในการจัดเก็บรวบรวมประวัติการทำธุรกรรมการเงินของเรา ทำให้ในระบบเครดิตบูโรจะบอกเพียงสถานะบัญชีเท่านั้นว่าเป็นอย่างไรเท่านั้น ซึ่งจะไม่มีการระบุคำว่า "Blacklist" หรือ "ติดเครดิตบูโร" ลงไปในระบบ
แต่การติด "Blacklist" ที่หลายคนเข้าใจกันนั้น จะมาจากธนาคารต่าง ๆ เป็นคนกำหนดจากการที่เราผิดนัดชำระหนี้ เพราะฉะนั้น การปล่อยสินเชื่ออะไรก็ตามแต่ จึงขึ้นอยู่กับการพิจารณาของธนาคารนั้น ๆ ที่เราไปขอกู้ โดยจะใช้ข้อมูลเครดิตเป็นส่วนประกอบในการพิจารณาเท่านั้น ซึ่งก็แน่นอนว่าถ้าเราโดน Blacklist จากธนาคาร โอกาสที่จะกู้บ้านผ่านก็คงยากเต็มที
หากข้อมูลเครดิตของเรามีความเสี่ยงที่จะกู้บ้านไม่ผ่าน ด้วยเหตุผล "ค้างชำระหนี้" วิธีการที่แนะนำคือ ให้กลับไปชำระหนี้ที่ค้างไว้ หรือจะชำระให้ถึงยอดชำระขั้นต่ำก็ยังดี เพื่อที่จะทำให้บัญชีกลับคืนสู่สถานะปกติ และหากชำระอย่างปกติต่อเนื่องกันหลายงวด ๆ ก็จะทำให้มีโอกาสมากขึ้น ที่จะได้รับการอนุมัติสินเชื่อจากธนาคาร เพราะเครดิตบูโรจะแสดงข้อมูลของเราให้ธนาคารรู้ย้อนหลังเพียง 3 ปีเท่านั้น แล้วข้อมูลใหม่จะเข้ามาแทนที่ข้อมูลเดิมนั่นเอง
ส่วนกรณี "ข้อมูลเครดิตไม่เพียงพอ" ก็ควรจะต้องเริ่มสร้างข้อมูลเครดิตขึ้นมาก่อน โดยอาจจะเป็นการขอสินเชื่อที่มีมูลค่าไม่สูงมาก เช่น บัตรเครดิต เป็นต้น แล้วชำระเต็มจำนวนให้ตรงเวลาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นการสร้างเครดิตที่ดีให้กับตัวเอง นอกจากนี้ อาจจะใช้วิธีกู้ร่วมกับผู้กู้ที่มีประวัติเครดิตดี ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติสินเชื่อจากธนาคาร
ตรวจสอบเครดิตบูโร ได้ที่ไหนบ้าง อย่างไร
ใครที่อยากเช็กข้อมูลเครดิตของตัวเอง สามารถขอดูประวัติเครดิตบูโรย้อนหลังด้วยวิธีง่าย ๆ เพียงเตรียมบัตรประจำตัวประชาชน ไปยื่นแล้วรอรับผลได้เลยภายใน 15 นาที (ค่าบริการ 100 บาท) ตามจุดต่าง ๆ ดังนี้
1. ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) สำนักงานใหญ่ อาคาร 2 ชั้น 2
2. อาคารกลาสเฮ้าส์ (ชั้นใต้ดิน) ปากซอยสุขุมวิท 25
3. สถานีรถไฟฟ้า BTS ศาลาแดง
4. ห้างเจ-เวนิว (นวนคร) ชั้น 4
5. อาคารเพิร์ล แบงก์ค็อก ชั้น 3
6. CITI Advance สาขาเดอะมอลล์ บางกะปิ, เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน, เมกา บางนา
นอกจากนี้ ยังมีจุดให้บริการตรวจข้อมูลเครดิตแบบส่งกลับให้ทางไปรษณีย์ ภายใน 7 วัน (ค่าบริการ 150 บาท) ตามจุดต่าง ๆ ดังนี้
1. เคาน์เตอร์ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, กรุงไทย, ธนชาต, ธอส., แลนด์แอนด์เฮ้าส์ และเอสเอ็มอีแบงก์ ทุกสาขา
2. ตรวจข้อมูลผ่านตู้ ATM ธนาคารกรุงไทย และไทยพาณิชย์ โดยจำเป็นต้องใช้บัตร ATM ของธนาคารนั้น ๆ
3. ตรวจข้อมูลผ่านโทรศัพท์มือถือ สำหรับผู้ที่ลงทะเบียน Mobile Banking ของธนาคารกรุงไทย และธนชาต
4. ใช้บริการ Internet Banking ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา และกรุงไทย
5. ที่ทำการไปรษณีย์ 291 สาขาทั่วประเทศ ตรวจสอบสาขาที่ให้บริการได้ที่ ncb.co.th
ใครที่กำลังวางแผนจะกู้บ้านอยู่ละก็
อยากฝากไว้ว่าการจะขอสินเชื่อผ่านหรือไม่นั้น
เครดิตบูโรไม่ใช่สิ่งเดียวที่ธนาคารใช้พิจารณา
แต่ยังมีอีกหลายปัจจัยเลยที่ธนาคารนำมาดูร่วมกัน เช่น หน้าที่การงาน
รายได้ต่อเดือนเมื่อเทียบกับภาระหนี้สิน เงินออมในบัญชีธนาคาร
หรือหลักทรัพย์ค้ำประกัน เป็นต้น
แต่ถึงอย่างนั้นการรักษาประวัติเครดิตของเราไว้ให้ดี
ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการขอสินเชื่อบ้าน
***หมายเหตุ : อัปเดตข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2561
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด