สำหรับคนที่ชื่นชอบสไตล์การแต่งบ้านหรู ๆ เราเชื่อว่าโคมไฟระย้าหรือแชนเดอเลียร์ (Chandelier) ต้องเป็นหนึ่งของตกแต่งบ้านในฝันแน่ ๆ ซึ่งจริง ๆ แล้วราคาของแชนเดอเลียร์ก็ไม่ได้แพงอย่างที่คิด เพราะขึ้นอยู่กับดีไซน์ ซึ่งปัจจุบันก็มีให้เลือกหลากหลายทีเดียว เอาเป็นว่ามีข้อมูลอะไรที่น่ารู้ก่อนซื้อแชนเดอเลียร์บ้าง แล้วต่างจากโคมไฟติดเพดานอย่างไร ก็ตามไปหาคำตอบพร้อม ๆ กันเลยค่ะ
แชนเดอเลียร์ (Chandelier) หรือ โคมระย้า เป็นของตกแต่งเพดาน ในอดีตเป็นสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นจากไม้ ใช้เทียนให้แสงสว่าง ซึ่งพบเห็นได้ตามโบสถ์ต่าง ๆ หรือบ้านของเหล่าเศรษฐี หลังจากนั้นดีไซน์ของแชนเดอเลียร์ ก็เริ่มมีการเปลี่ยนรูปแบบและขนาด เพื่อให้เข้ากับบ้านสมัยใหม่และใช้กับหลอดไฟได้
แชนเดอเลียร์ โคมไฟแขวน แตกต่างกันอย่างไร
แม้ทั้ง 2 อย่างนี้จะใช้สำหรับตกแต่งเพดานเหมือนกัน แต่ก็มีข้อแตกต่างอยู่ไม่น้อย ทั้งการติดตั้ง วัสดุ ดีไซน์ และราคา ดังนี้
- การติดตั้ง : โคมไฟแขวนใช้สายไฟ 1 เส้น ส่วนมากจะมีก้านห้อยโคมไฟเพียงก้านเดียว และใช้หลอดไฟไม่เกิน 2 หลอด ต่อชิ้น ส่วนแชนเดอเลียร์นั้นมีกิ่งไฟเยอะทำให้ใช้หลอดไฟมากกว่า
- วัสดุ : โคมไฟแขวนมีการผลิตจากหลายวัสดุ อาทิ แก้ว นิเกิล ทองแดง กระจกสเตนกลาส ( Stained Glass) ฯลฯ แต่แชนเดอเลียร์ส่วนใหญ่จะทำจากเหล็ก ทองแดง ครีสตัล หรือกระจก เท่านั้น เลยทำให้มีน้ำหนักมากกว่าโคมไฟแขวนนั่นเอง
- ดีไซน์ : ทั้งโคมไฟแขวนและแชนเดอเลียร์มีหลายดีไซน์ให้เลือก แต่โคมไฟแขวนมีดีไซน์ที่ทำให้ยืดหยุ่นการใช้งานได้มากกว่า เพราะเหมาะกับทุกห้องในบ้าน ในขณะที่ดีไซน์ของแชนเดอเลียร์นั้น ถูกออกแบบให้เข้ากับห้องรับประทานอาหารและห้องครัวมากกว่า
- ราคา : สำหรับราคาของโคมไฟแขวนก็มีให้เลือกหลายระดับ ตามวัสดุที่ใช้ผลิต ซึ่งค่อนข้างถูกกว่าแชนเดอเลียร์ ที่มีขนาดใหญ่กว่าและใช้วัสดุในการผลิตที่แพงกว่า
- Antler Chandeliers : แชนเดอเลียร์ทรงเขากวาง ทำจากยางไม้ เหมาะสำหรับตกแต่งบ้านสไตล์รัสติกหรือคันทรี แต่ก็ปรับใช้กับบ้านสไตล์คอนเทโพรารีและโมเดิร์นเช่นกัน
- Bowl Chandeliers : โคมของแชนเดอเลียร์ประเภทนี้จะมีลักษณะคล้ายถ้วยวางหงาย ส่วนใหญ๋จะใช้หลอดไฟเพียงหลอดเดียว
- Cage Chandeliers : โคมของแชนเดอเลียร์ที่มีลักษณะเหมือนกรง มีหลากหลายรูปทรง ทั้งทรงเรขาคณิต ทรงโค้ง หรือมีการดัดเป็นรูปร่างอื่น ๆ ที่มีความอ่อนช้อย สวยงาม
- Candle Chandeliers : แชนเดอเลียร์เลียนแบบสไตล์ดั้งเดิม เพียงแต่มีการปรับดีไซน์เชิงเทียนให้เหมาะกับการใช้หลอดไฟแทนเทียนไขนั่นเอง
- Crystal Chandeliers : แชนเดอเลียร์ที่ทำจากคริสตัล เป็นรูปแบบที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ให้ความรู้สึกถึงความหรูหรา อลังการ ปัจจุบันมีหลากสี หลายสไตล์ และใช้วัสดุอื่นผสมกันไปด้วย
- Drum Chandeliers : แชนเดอเลียร์ที่มีโคมครอบทรงกระบอก ทำจากผ้า โลหะ หรือวัสดุอื่น ๆ ส่วนด้านในก็มีทั้งแบบใช้หลอดไฟหลายหลอดและหลอดไฟหลอดเดียว
- Empire Chandeliers : แชนเดอเลียร์สไตล์ฝรั่งเศสคลาสสิก (Classic French Style) ประดับด้วยสายคริสตัลมากมาย เหมาะสำหรับตกแต่งห้องเพื่อเพิ่มความหรูหรา
- Flush Mount Chandeliers : แชนเดอเลียร์แบบไม่มีก้านแขวน ติดตั้งกับโดยตรง เหมาะกับการตกแต่งในห้องที่มีเพดานต่ำ
- Lantern Chandeliers : แชนเดอเลียร์ดีไซน์แบบโคมไฟ ตกแต่งรอบโครงเหล็กด้วยกระจก แต่บางรุ่นก็ไม่มี
- Linear Chandeliers : แชนเดอเลียร์ที่มาในรูปแบบโครงเหล็ก ล้อมหลอดไฟด้วยกรอบทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากหรือสี่เหลี่ยมผืนผ้า เหมาะสำหรับติดตั้งไว้เหนือโต๊ะกินข้าวหรือบาร์ห้องครัว
- Mini Chandeliers : แชนเดอเลียร์ขนาดเล็ก เหมาะกับพื้นที่ที่มีขนาดจำกัด เช่น ห้องทำงานหรือมุมกินข้าว
- Orb Chandeliers : แชนเดอเลียร์ที่มีการซ้อนโครงเหล็กวงกลมไว้หลาย ๆ วงในอันเดียวกัน เข้ากับการตกแต่งบ้านได้หลายสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นสไตล์ลอฟท์หรือโมเดิร์น
- Sputnik Chandeliers : แชนเดอเลียร์ที่ตั้งชื่อตามดาวเทียมดวงแรกของโลก ประกอบด้วยกิ่งหลอดไฟหลายดวง มีความสวยงาม แถมยังดูเป็นเอกลักษณ์
- Teardrop Chandeliers : แชนเดอเลียร์ที่มีช่วงบนกว้าง ช่วงล่างแคบ ส่วนใหญ่ตกแต่งด้วยแท่งคริสตัล ดีไซน์เรียบหรู
- Tiffany Chandeliers : แชนเดอเลียร์ที่ตั้งตามชื่อของกระจกสีที่ออกแบบโดย หลุยส์ คอมฟอร์ท ทิฟฟานี (Louis Comfort Tiffany) เจ้าของทิฟฟานี่ สตูดิโอ (Tiffany Studios) ในนิวยอร์ก สหรัฐฯ ช่วงต้น ค.ศ. 1900 ปัจจุบันมีการดัดแปลงด้วยการเปลี่ยนไปใช้กระจกประเภทอื่น ๆ บ้าง เช่น กระจกสเตนกลาส เป็นต้น
วิธีซื้อแชนเดอเลียร์
1. สถานที่
ขั้นตอนแรกในการเลือกซื้อแชนเดอเลียร์นั้น เราต้องรู้ก่อนว่าจะตกแต่งแชนเดอเลียร์ไว้ที่ไหน ห้องนอน ห้องครัว หรือห้องน้ำ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะนิยมตกแต่งห้องโถงและห้องรับประทานอาหาร และไม่จำเป็นต้องติดตั้งแชนเดอเลียร์ที่จุดกึ่งกลางห้องเพียงอย่างเดียว แต่สามารถติดตั้งไว้เหนือเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ในห้องได้ เช่น เหนือโต๊ะ โซฟา หรือบริเวณที่ต้องการจะทำให้เด่น ก็จะกลายเป็นจุดนำสายตาและทำให้ทั้งห้องดูดีขึ้นได้เช่นกัน
2. สไตล์
เมื่อได้สถานที่ที่จะติดตั้งแชนเดอเลียร์แล้ว ก็ให้เลือกสไตล์ของแชนเดอเลียร์ให้เข้ากับสถานที่นั้น ๆ เพราะแชนเดอเลียร์ถือเป็นส่วนประกอบภายในห้อง ฉะนั้นจึงไม่ควรโดดเด่นหรือดูแปลกแยกจนเกินไป ซึ่งเคล็ดลับง่าย ๆ ในการหาซื้อแชนเดอเลียร์สไตล์ที่ใช่ ก็ให้เราหาตัวอย่างสัก 2-3 รูป พร้อมกับภาพห้องของเราไปให้คนขายดู ก็ได้ทั้งแนะนำและทำให้เราเลือกแชนเดอเลียร์ได้ง่ายขึ้นแน่นอน แต่อย่างไรก็อย่าซีเรียสกับเรื่องสไตล์มากไป ให้คำนึงถึงความพอใจของตัวเองไว้ด้วย เพราะบางทีสไตล์ดูที่ตรงกับข้ามหรือไม่เข้ากันก็อาจทำให้ห้องออกมาสวยงามถูกใจเราก็ได้
3. ขนาด
เราจำเป็นต้องกำหนดขนาดของแชนเดอเลียร์ออกมาให้เหมาะสมกับพื้นที่ ซึ่งในส่วนของขนาดความกว้างทำได้โดยการวัดความกว้างและความยาวของห้องเป็นฟุต จากนั้นก็นำผลทั้งทั้งสองมาบวกกัน แล้วจึงเปลี่ยนหน่วยจากฟุตเป็นนิ้ว เท่านี้ก็จะได้ขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลางแชนเดอเลียร์ที่เหมาะสมกับพื้นที่ที่จะติดตั้ง แต่ถ้าหากจะติดตั้งแชนเดอเลียร์ให้พอดีกับโซฟาที่นั่งหรือจุดใดจุดหนึ่งของห้อง ก็ให้เปลี่ยนจากขนาดความกว้างและความยาวรวมของห้องเป็นขนาดของที่นั่งแทน หรือไม่เช่นนั้นก็สามารถวัดจากความยาวของผนังสองฝั่งใกล้ ๆ มาจนถึงจุดกึ่งกลางของที่นั่ง แล้วทำตัวเลขทั้งสองมาบวกกัน เสร็จแล้วก็คูณด้วย 2 เปลี่ยนเป็นนิ้ว เท่านี้ก็จะได้ขนาดของแชนเดอเลียร์ที่เหมาะสม ส่วนสำหรับแชนเดอเลียร์ที่ติดตั้งไว้ในห้องกินข้าว ก็ให้เลือกขนาดประมาณ ½ หรือ 2/3 ของความกว้างโต๊ะ หรือไม่ก็เลือกให้มีขนาดน้อยกว่าความกว้างโต๊ะลงมาประมาณ 12 นิ้ว และเมื่อได้ขนาดเส้นผ้าผ่าศูนย์กลางของแชนเดอเลียร์ที่เหมาะสมแล้ว ความความสูงของแชนเดอเลียร์ก็ต้องคำนวณให้พอดีด้วย โดยให้เราวัดขนาดความสูงของห้องตั้งแต่เพดานลงมาถึงพื้นเป็นฟุต เสร็จแล้วก็คูณด้วย 2.5 หรือ 3 เข้าไป ก็จะได้ขนาดความสูงของแชนเดอเลียร์ที่พอดีกับขนาดห้องแล้ว
4. ความสูง
นอกจากเรื่องขนาดแล้ว ความสูงของแชนเดอเลียร์ก็สำคัญไม่แพ้กัน ให้เราทำการปรับความสูงของด้านล่างแชนเดอเลียร์ให้ห่างจากพื้นห้องต่าง ๆ ประมาณ 7 ฟุต แต่ถ้าหากติดตั้งแชนเดอเลียร์ไว้ในห้องกินข้าว ก็ให้ปรับให้ห่างเหนือโต๊ะกินข้าวขึ้นมาประมาณ 30 นิ้ว ทว่าถ้าเพดานของคุณสูงเกินกว่า 8 ฟุต ก็ให้ปรับแชนเดอเลียร์ให้ห่างจากโต๊ะกินข้าวขึ้นมาประมาณ 36-40 นิ้ว
การติดตั้งแชนเดอเลียร์
1. ปิดวงจรไฟฟ้าในบริเวณที่เราจะทำการติดตั้งแชนเดอเลียร์ อย่าลืมบอกให้คนในบ้านรู้ด้วย จะได้ไม่มีใครเผลอไปเปิดในระหว่างที่เราทำอยู่ จากนั้นก็ลองเปิดไฟเพื่อเช็กดูว่าทำการปิดวงจรไฟฟ้าเรียบร้อยดีแล้ว
2. ถอดหลอดไฟหรือโคมไฟอันเก่าออกด้วยไขขวงหรือประแจ แล้วจะพบกับกล่องพักสายไฟและสายไฟ
3. ทำการหมุนเพื่อแกะจุดเชื่อมสายไฟออกแบบทวนเข็มนาฬิกา อย่าลืมจำไว้ด้วยว่าสายไฟเส้นไหนคู่กับเส้นไหน แต่ปกติจะแยกตามสีหรือมีสัญลักษณ์บอกอยู่แล้ว
4. วัดน้ำหนักของแชนเดอเลียร์ที่จะติดตั้ง โดยถ้ามีน้ำหนักเบาก็สามารถยึดติดกับฝ้าได้เลย แต่ถ้ามีน้ำหนักมากก็ให้หาซัพพอร์ต (Fan Brace) มายึดไว้
5. นำไขขวงแงะหรือใช้ค้อนทุบเพื่อถอดกล่องพักสายไฟอันเก่าออก
6. นำเลื่อยหั่นเหล็กยึด อันเก่าออกเป็นสองท่อน แล้วนำไปทิ้ง เพื่อติดตั้งอันใหม่
7. ใส่เหล็กยึดใหม่ที่มีซัพพอร์ต (Fan Brace) เข้าไปในช่องเพดาน โดยให้เหล็กวางแนบติดอยู่กับเพดานด้านบนในลักษณะขวางช่องเอาไว้ จากนั้นก็ดันหนามแหลมด้านข้างเหล็กยึดให้ยึดติดสนิทเข้ากับตงเพดาน พร้อมใช้ประแจหมุนให้แน่นขึ้นอีกเล็กน้อยด้วย
8. ติดตั้งกล่องพักสายไฟอันใหม่ โดยให้ติดแถบยึด (Mounting Strip) เข้าไปก่อน แล้วจึงใช้นอตล็อกกล่องพักสายไฟเอาไว้
9. ต่อส่วนประกอบต่าง ๆ ของแชนเดอเลียร์เข้าด้วยกัน พร้อมตัดโซ่ให้ได้ระยะความสูงที่เหมาะสม
10. พันสายไฟของแชนเดอเลียร์ไว้กับโซ่ไปจนถึงปลายโซ่ เพื่อให้เชื่อมต่อเข้ากับสายไฟในกล่องพักสายไฟได้
11. นำแชนเดอเลียร์ไปแขวนแล้วติดตั้งให้มั่นคง พร้อมเชื่อมต่อสายไฟจากแชนเดอเลียร์และกล่องสายไฟเข้าด้วยกัน
12. เปิดวงจรไฟฟ้า เพื่อเช็กว่าติดตั้งแชนเดอเลียร์เรียบร้อยหรือไม่ เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก doityourself, hayneedle, thisoldhouse, wikihow, sothebysrealty, overstock, delmarfans และ houzz