ระยะร่นอาคาร ห่างแค่ไหนไม่ผิดกฎ รู้ไว้ก่อนสร้างบ้าน

ระยะร่น คืออะไร ทำยังไงให้ถูกกฎหมาย มาดูแนวระยะย่นหรือระยะห่างสำหรับใช้สร้างบ้านหรืออาคาร ป้องกันปัญหาตามมาภายหลัง

สำหรับใครที่กำลังสร้างบ้าน อย่ามองข้ามเรื่องระยะร่น เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะตามมาภายหลัง ระยะร่น คืออะไร และระยะห่างตัวบ้านกับถนน แหล่งน้ำ หรืออาคารแต่ละแห่ง ควรห่างกันเท่าไหร่ และทำไมต้องมีระยะร่น ตามไปดูกันเลย

ระยะร่น คือ ระยะห่างระหว่างแนวอาคารกับแนวเขตที่กฎหมายกำหนด เช่น ระยะห่างระหว่างบ้านกับถนน หรือระยะห่างระหว่างบ้านกับแหล่งน้ำสาธารณะ ซึ่งระยะร่นของแนวอาคารก็แตกต่างกันไปตามประเภทของอาคาร

เพื่อป้องกันความเสียหายจากไฟไหม้ เช่น ทำให้หน่วยกู้ภัยทำงานได้สะดวกขึ้น ป้องกันไม่ให้ไฟลุกลามไปยังอาคารข้างเคียง อีกทั้งยังมีไว้เพื่อสุขอนามัยที่ดี ทำให้อากาศหมุนเวียนได้ดีขึ้น และเพื่อความสะดวกในการต่อเติมรวมถึงการซ่อมแซมเมื่อมีจุดชำรุด

• อาคารที่ก่อสร้างหรือดัดแปลงใกล้ถนนสาธารณะที่มีความกว่างน้อยกว่า 6 เมตร ให้ร่นแนวอาคารห่างจากกึ่งกลางถนนอย่างน้อย 3 เมตร 

• การร่นแนวอาคารจากถนนสาธารณะของอาคารที่อยู่อาศัย รวมทั้งบ้านแฝดที่สูงไม่เกิน 2 ชั้น หรือไม่เกิน 8 เมตร กำหนดไว้ดังนี้ 

  • ถ้าถนนสาธารณะมีความกว้างน้อยกว่า 10 เมตร ให้ร่นแนวอาคารห่างจากกึ่งกลางถนนอย่างน้อย 6 เมตร

  • ถ้าถนนสาธารณะมีความกว้างตั้งแต่ 10 เมตรขึ้นไป แต่ไม่เกิน 20 เมตร ให้ร่นแนวอาคารห่างจากเขตถนนสาธารณะอย่างน้อย 1 ใน 10 ของความกว้างของถนน

  • ถ้าถนนสาธารณะมีความกว้างเกิน 20 เมตรขึ้นไป ให้ร่นแนวอาคารห่างจากเขตถนนอย่างน้อย 2 เมตร

อาคารที่ก่อสร้างหรือดัดแปลงใกล้แหล่งน้ำสาธารณะ เช่น แม่น้ำ คูคลอง ลำราง หรือลำกระโดง ต้องเว้นระยะห่างดังนี้

• แหล่งน้ำสาธารณะมีความกว้างน้อยกว่า 10 เมตร ต้องร่นแนวอาคารให้ห่างจากเขตแหล่งน้ำไม่น้อยกว่า 3 เมตร 
• แหล่งน้ำสาธารณะมีความกว้าง 10 เมตรขึ้นไป ต้องร่นแนวอาคารให้ห่างจากเขตแหล่งน้ำไม่น้อยกว่า 6 เมตร 
• แหล่งน้ำสาธารณะขนาดใหญ่ เช่น บึง ทะเลสาบ หรือทะเล ต้องร่นแนวอาคารให้ห่างจากเขตแหล่งน้ำไม่น้อยกว่า 12 เมตร

ทั้งนี้ หากเป็นสะพาน เขื่อน รั้ว ท่อระบายน้ำ ท่าเรือ ป้าย อู่เรือ คานเรือ หรือที่ว่างที่ใช้เป็นที่จอดรถ ไม่ต้องร่นแนวอาคารจากเขตแหล่งน้ำสาธารณะ

กรณีแรก : ผนังของอาคารด้านที่มีหน้าต่าง ประตู ช่องระบายอากาศหรือช่องแสง หรือระเบียงของอาคาร ต้องมีระยะห่างจากผนังของอาคารอื่นด้านที่มีหน้าต่าง ประตู ช่องระบายอากาศหรือช่องแสง หรือระเบียงของอาคาร ดังต่อไปนี้

• อาคารที่มีความสูงไม่เกิน 9 เมตร ผนังหรือระเบียงของอาคารต้องอยู่ห่างจากผนังหรือระเบียงของอาคารอื่นที่มีความสูงไม่เกิน 9 เมตร ไม่น้อยกว่า 4 เมตร 

• อาคารที่มีความสูงไม่เกิน 9 เมตร ผนังหรือระเบียงของอาคารต้องอยู่ห่างจากผนังหรือระเบียงของอาคารอื่นที่มีความสูงเกิน 9 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ไม่น้อยกว่า 5 เมตร 

• อาคารที่มีความสูงเกิน 9 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ผนังหรือระเบียงของอาคารต้องอยู่ห่างจากผนังหรือระเบียงของอาคารอื่นที่มีความสูงเกิน 9 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ไม่น้อยกว่า 6 เมตร

กรณีที่สอง : ผนังของอาคารด้านที่เป็นผนังทึบ ต้องมีระยะห่างจากผนังของอาคารอื่นด้านที่มีหน้าต่าง ประตู ช่องระบายอากาศหรือช่องแสง หรือระเบียงของอาคาร ดังต่อไปนี้ 

• อาคารที่มีความสูงไม่เกิน 15 เมตร ผนังของอาคารต้องอยู่ห่างจากผนังหรือระเบียงของอาคารอื่นที่มีความสูงไม่เกิน 9 เมตร ไม่น้อยกว่า 2 เมตร 

• อาคารที่มีความสูงไม่เกิน 15 เมตร ผนังของอาคารต้องอยู่ห่างจากผนังหรือระเบียงของอาคารอื่นที่มีความสูงเกิน 9 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ไม่น้อยกว่า 3 เมตร  

กรณีที่สาม : ผนังของอาคารที่มีความสูงเกิน 15 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ด้านที่เป็นผนังทึบต้องอยู่ห่างจากผนังของอาคารอื่นที่มีความสูงเกิน 15 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ด้านที่เป็นผนังทึบไม่น้อยกว่า 1 เมตร

ผนังของอาคารที่มีหน้าต่าง ประตู ช่องระบายอากาศหรือช่องแสง หรือระเบียงของอาคาร ต้องมีระยะห่างจากแนวเขตที่ดินดังนี้

• อาคารที่สูงไม่เกิน 9 เมตร ผนังหรือระเบียงต้องอยู่ห่างเขตที่ดินไม่น้อยกว่า 2 เมตร
• อาคารที่สูงเกิน 9 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ผนังหรือระเบียงต้องอยู่ห่างเขตที่ดินไม่น้อยกว่า 3 เมตร

ทั้งนี้ หากไม่สามารถเว้นระยะห่างจากแนวเขตที่ดินได้ตามเกณฑ์ก็จะต้องอยู่ห่างจากเขตที่ดินไม่น้อยกว่า 50 เซนติเมตร โดยต้องทําเป็นผนังทึบ หรือหากมีระยะห่างน้อยกว่า 0.50 เมตร นอกจากต้องเป็นผนังทึบแสง อาคารจะก่อสร้างได้จะต้องสูงไม่เกิน 15 เมตร ทั้งนี้ ต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากเจ้าของที่ดินข้างเคียงด้านนั้นด้วย และดาดฟ้าของอาคารด้านนั้นให้ทําเป็นผนังทึบสูงจากดาดฟ้าไม่น้อยกว่า 1.80 เมตร

หากใครที่กำลังจะสร้างบ้านหรืออาคารก็อย่าลืมเช็กระยะร่นหรือระยะห่างของตัวอาคารกับถนน แหล่งน้ำ หรือระหว่างอาคารด้วยนะ เพื่อความปลอดภัยในการอยู่อาศัยและสะดวกต่อการต่อเติมหรือซ่อมแซม